

ปฏิทิน
ราตรีชมพูอมส้ม
ME
วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553
ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่เป็นโรคสิว

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553
เตือนห่วงสุขภาพตับ งดกินพาราฯควบกาแฟ

ความรู้เล็กๆ เกี่ยวกับ แผลในช่องปาก หรือ ร้อนใน

ความรู้เล็กๆ เกี่ยวกับ แผลในช่องปาก หรือ ร้อนใน
เป็นแผลสีขาวขาว เจ็บ ที่ริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม และเหงือกบ่อยๆ เรียกว่า เป็นแผล ร้อนใน ซึ่งแผลในลักษณะนี้เกิดขึ้นได้จากมีความเครียด ... หรือท้องผูก ... มีการกัดโดนริมฝีปาก กระพุ้ง แก้ม ... หรือเป็นแผล หรืออนามัยช่องปากไม่ดีการรักษา ทำได้โดย พยายามหาวิธีการลดความเครียด เพื่อผ่อนคลาย เลือกรับประทาน อาหารที่มีกาก และดื่มน้ำมากๆ ระวังไม่ให้เกิดแผลในช่องปาก ซึ่งอาจเกิดได้จากอาหารที่มีความคม แข็ง เช่น ก้าง ปลา และรักษาอนามัยช่องปากให้สะอาดโดยปกติแล้ว แผลในลักษณะนี้ จะหายไปเองใน 7 วัน ในวันแรก ของการเป็นแผลอาจมี อาการปวดแสบปวดร้อนมากได้ อาจใช้ยาบางชนิด เช่น จำพวกคอร์พิโซน ทาบริเวณแผล จะช่วยลดอาการลงได้ และหากภายใน 2 สัปดาห์ แผลยังไม่หาย หรือเป็นแผลมากขึ้นกว่าเดิม ควรรีบไปพบทันตแพทย์
เป็น " สิว "บอกอะไรได้มากกว่าที่คิด

สิวผุดขึ้นมาแต่ละเม็ด แต่ละเม็ด ก็ทำให้หนุ่มสาวหน้าใสที่ห่วงสวยห่วงหล่อแทบคลั่ง วิ่งหาวิธี delete สิวออกไปจากใบหน้ากันให้วุ่นวาย แต่จะมีซักกี่คนที่จะรู้ว่าเป็นสิวไม่ใช่แค่บอกว่าสุขภาพผิวหน้าเราไม่ดี แต่ยังบอกถึงสุขภาพทั่ว ๆ ไปอีกด้วย เมื่อเร็ว ๆ นี้ สถาบัน Leonard Drake ได้คิดค้นวิธีการวิเคราะห์ผิวลงไปลึกลงไปอีก ด้วยการผสานความรู้ในการดูแลผิวหน้าแบบตะวันตกเข้ากับศาสตร์การอ่านใบหน้าแบบจีน ซึ่งสามารถบอกได้ว่าสิวที่ขึ้นตามตำแหน่งต่าง ๆ ของใบหน้าหรือร่างกาย บอกความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนในบ้าง ว่าแล้วก็ไปหยิบกระจกมาส่องหน้าดูซิว่า อวัยวะส่วนใดผิดปกติกันบ้าง
โซนที่ 1
ตำแหน่งของสิว :หน้าผากด้านซ้าย
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :การย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ ต่อมหมวกไต
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :มีความเครียดสูง ล้างหน้าไม่สะอาด เพราะทารองพื้นหรือแต่งคิ้วมากไป
โซนที่ 2
ตำแหน่งของสิว : หว่างคิ้ว
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : ตับ
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :อาจมีปัญหาในการย่อยแลคโทส (ดื่มนมไม่ได้)การรสจัดหรืออาหารกินอาหารดึกเกินไป
โซนที่ 3
ตำแหน่งของสิว : หน้าผากด้านขวา
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :การย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ ต่อมหมวกไต
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :มีความเครียดสูง ล้างหน้าไม่สะอาด เพราะทารองพื้นหรือแต่งคิ้วมากไป
โซนที่ 4,10
ตำแหน่งของสิว : ใบหูทั้ง 2 ข้าง
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :ไต
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :ล้างแชมพูหรือสบู่ออกไม่หมด ใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไป ดื่มกาแฟ แอลกอฮอล์หรือกินเนื้อสัตว์มากเกินไป
โซนที่ 5,9
ตำแหน่งของสิว: แก้มทั้ง 2 ด้าน
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :
- แก้มส่วนบน ไซนัสและปอด
- แก้มส่วนล่าง เหงือก และฟัน
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :สูบบุหรี่จัด หรือแพ้ควันบุหรี่ ภูมิแพ้ เป็นหวัดเรื้อรัง หรืออาจใช้บลัชออนและรองพื้นไม่เหมาะสม ถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้มอาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอดหรือการหายใจ ถ้ามีสิวแบบเป็น ๆ หายๆ ที่แก้มด้านล่างอาจมีปัญหาเรื่องเหงือกและฟัน หรือโทรศัพท์มือถือไม่สะอาด
โซนที่ 6, 8
ตำแหน่งของสิว :รอบดวงตาทั้ง 2 ข้าง
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :ไต และปัญหาภูมิแพ้
เสาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :ครื่องสำอางทีใช้อาจไม่เหมาะ หรือใส่แว่นาที่เสียดสีมาก รอยคล้ำอาจเกิดจากการมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก หรือผักผ่อนน้อย เปลือกตาหากมีความระคายเคืองอาจมาจากการเป็นภูมิแพ้ หรือขาดสารอาหาร
โซนที่ 7
ตำแหน่งของสิว: จมูก และเหนือริมฝีปาก
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :หัวใจ และระบบสืบพันธุ์
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :หากมีผิวสีแดงเข้มที่จมูก อาจบ่งบอกถึงโรคความดันโลหิตสูง การอุดตันหรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ บอกถึงผลกระทบจากฮอร์โมน เช่นกำลังมีประจำเดือน วัยทอง การใช้ยาคุมกำเนิด
โซนที่ 11,13
ตำแหน่งของสิว :ใต้ริมฝีปากด้านซ้าย และขวา
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :รังไข่
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ: อาจทำความสะอาดได้ไม่พอ หรือมาจากความสมดุลทางฮอร์โมน หากมีปัญหาการอุดตันช่วงใบหู อาจแสดงว่าฟันกรามมีปัญหา หรือว่าเพิ่งผ่าตัดฟันมา หรืออาจเกิดจากการมีรอบเดือน
โซนที่ 12
ตำแหน่งของสิว :ปลายคาง
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก
โซนที่ 14
ตำแหน่งของสิว ลำคอ และหน้าอก
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :ความเครียด วันนี้ถ้าส่องกระจกดูสิว ก็อย่าลืมสังเกตสุขภาพร่างกายไปพร้อม ๆ กันด้วยนะคะ
วิธีแก้ไขปัญหา"หน้ามันเยิ้ม"

เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่น เนื่องจากมีอิทธิพลของฮอร์โมนเพศ ที่เพิ่มขึ้นไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากขึ้น แต่บางคนคิดว่าตัวเองพ้นวัยรุ่นมานานแล้ว ทำไมยังหน้ามันไม่หายสักที นั่นเป็นเพราะยังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง ที่ส่งผลต่อความมันบนใบหน้า ความเครียด, การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในหญิงมีครรภ์, ความร้อน และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสม
*ส่วนความเชื่อที่ว่าการรับประทานของมันๆ*เช่น ขาหมู, ไอสกรีม, กะทิ แล้วจะทำให้หน้ามันนั้นเป็นการเข้าใจผิดค่ะ เพราะเป็นไขมันคนละชนิด กับที่หลั่งออกมาสู่ผิวหนัง
*ปัญหาที่พบคู่กันกับคนหน้ามันคือ*รูขุมขนกว้าง ซึ่งจะสัมพันธ์กับปริมาณไขมันที่ผลิตจากต่อมไขมัน และหลั่งออกสู่ผิวหนังที่มากขึ้น เพราะถ้าไขมันเหล่านี้ไม่สามารถระบายออกไปได้ ก็จะเกิดการอุดตันเกิดเป็นสิวตามมาให้กลุ้มใจอีกเรื่อง
*การดูแลรักษาผิวหน้า สำหรับคนหน้ามัน*
1. ควรล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2-3 ครั้งก็พอ เพราะการล้างหน้าบ่อยเกินไป กลับจะเป็นโทษคือทำให้ผิวหน้าอักเสบระคายเคืองได้ ในระหว่างวันถ้ารู้สึกรำคาญหน้ามันก็อาจใช้กระดาษซับมันช่วยได้ สบู่หรือโฟมที่เลือกใช้ควรผลิตสำหรับผิวมันโดยเฉพาะ หรืออาจใช้เป็นสบู่เด็กก็พอ ไม่ควรใช้สบู่ที่ฟอกแล้วหน้าตึงมาก
2. ครีมบำรุงหรือครีมให้ความชุ่มชื้น ควรเลือกชนิดปราศจากน้ำมัน (Oil-free) และไม่อุดตันรูขุมขน (Non-Comidogenic) และควรมีสารป้องกันแสง UV ที่จะมาทำลายผิวด้วย
3. การแต่งหน้า ถ้าเป็นไปได้แป้งที่เหมาะสม สำหรับคนหน้ามันก็คือแป้งฝุ่น แต่ถ้าจำเป็นต้องแต่งหน้าก็อาจใช้แป้งฝุ่นก่อนจึงค่อยแต่งหน้า การเลือกใช้รองพื้นควรใช้ชนิดที่มีส่วนผสมเป็นน้ำ (Water Based) และปราศจากน้ำมัน (Oil-free)
ถ้าปฏิบัติด้วยวิธีดังกล่าวแล้วยังมีหน้ามันมาก มีรูขุมขนกว้างหรือมีสิวขึ้นจนขาดความมั่นใจ ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพราะคุณหมอจะมียาทาบางชนิดที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน ช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ที่อุดตันตามรูขุมขนออกไป เช่น ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ, AHA, BHA ฯลฯ ทำให้ผิวหน้าดูดีขึ้น
ส่วนยารับประทานที่ควบคุมความมันบนใบหน้า เป็นยาอันตรายนะคะ! ซื้อทานเองหรือเอาไปแบ่งเพื่อนทานก็ไม่ได้ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น
"วิตามินซี" เพื่อสุขภาพ
มาทำความรู้จักกับ “วิตามินซี” กับบทบาทสำคัญ ... คุณสมบัติที่โดดเด่นของวิตามินซี ก็คือ ความเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) นั่นเอง โดยประโยชน์หลักๆ เมื่อร่างกายได้รับวิตามินซีเป็นประจำ คือ เพิ่มภูมิต้านทานแก่ร่างกาย ป้องกันการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง บำรุงผิวพรรณหรือชะลอความแก่ ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันหรือเหงือกอักเสบ ในทางกลับกัน หากร่างกายเราขาด “วิตามินซี” หรือมีปริมาณวิตามินซีน้อยเกินไป อาจส่งผลทำให้เกิดอาหารเหล่านี้ได้
- เป็นหวัดง่าย ภูมิต้านทานโรคและความสามารถในการกำจัดพิษลดลง
- ผิวหนังขาดความยืดหยุ่น เกิดจุดด่างดำ ฝ้า มีเลือดออกตามไรฟัน
- อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง ประสาทสัมผัสด้อยลง
- มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะ ตับ และส่วนอื่นๆ
- ประสิทธิภาพของต่อมหมวกไตลดลง เป็นภูมิแพ้ได้ง่าย
- เป็นโรคโลหิตจาง หรือโรคต่างๆ ง่าย บาดแผลหายยาก หากขาดมากจะเป็นโรค โลหิตเป็นพิษ
- เกิดโรคลักปิดลักเปิด
สำหรับผู้ที่กำลังกลุ้มใจ เพราะไม่รู้ว่าจะหาวิตามินซีมาทานได้จากที่ไหน ... อยากจะบอกว่า ความจริงแล้วแหล่งของวิตามินซี เราสามารถหาได้จาก อาหารที่มีอยู่ในธรรมชาติทั่วไป แต่แหล่งที่มีมาก คือ ผักสดและผลไม้ต่างๆ โดยเทียบง่ายๆ จากประเภทของอาหาร (100 กรัม) และวิตามินซี
(มิลลิกรัม)ดังนี้ มะขามป้อม 276, ฝรั่ง 160, พุทรา 154, มะขามเทศ 133, มะปรางสุก 107, มะละกอสุก 73,แคนตาลูป 33, มะนาว 25 และมะยม 8อย่างไรก็ตาม พึงตระหนักไว้ว่า “วิตามินซี”เป็นวิตามินที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับวิตามินอื่นๆ และร่างกายไม่สามารถผลิตขึ้นได้เอง ดังนั้น ทุกคนจึงควรบริโภควิตามินซี แต่จะมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับความต้องของแต่ละบุคคล