ปฏิทิน

ราตรีชมพูอมส้ม

ME

วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่เป็นโรคสิว


ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่เป็นโรคสิว ขอสรุปข้อควรปฏิบัติ สำหรับผู้เป็นโรคสิวไว้เป็นแนวทางในการดูแลตนเองดังนี้

1. การล้างหน้า ควรล้างด้วยสบู่อ่อน ๆ เช่นสบู่เด็ก ซึ่งประกอบด้วยสารเคมีที่อ่อน ไม่ระคายเคือง หรือรบกวนผิวซึ่งทำให้เกิดคอมมีโดน หรือสิวอุดตัน หรือเลือกสบู่อ่อนที่ใช้สารเคมีที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่ก่อให้เกิดสิว

2. ไม่ควรล้างหน้า หรือเช็ดหน้าบ่อย ๆ

3. ไม่ควรใช้เครื่องสำอางที่มีผลต่อการทำงานของผิวหนัง และต่อมไขมัน เช่น ครีมบำรุงผิว ครีมนวดหน้า ครีมแก้รอยเหี่ยวย่นที่มีสเตียรอยด์ผสมอยู่ ถ้าจำเป็นต้องใช้ควรเลือกครีมหรือสารที่ใช้ความชุ่มชื้นมีส่วนประกอบ เป็น สารเคมีที่ ไม่ก่อให้เกิดสิว โดยทั่วไปชุดเมคอัพ เช่น ลิปสติก แป้ง บรัชออน มาสคาร่า อายแชโดว์ และชุดรองพื้น จะไม่ก่อให้เกิดสิว

4. อย่าบีบ หรือแกะสิว 5. การใช้ยารักษาสิว ต้องระวังยาที่โฆษณาว่ารักษาได้ทั้งสิว และฝ้า เพราะยาพวกนี้ มักผสมสเตียรอยด์ ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้สิวอักเสบยุบเร็ว แต่มีภาวะแทรกซ้อนมากมาย โดยมีการกระตุ้นให้เกิดสิวอุดตันขึ้นมาใหม่มากกว่าเดิม ทำให้สิวไม่หายขาด 6. เลือกใช้ยาทาพวกเบนซอยล์เปอร์ออกไซด์ หรือกรดวิตามินเอตามชนิดของสิว ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาหรือแนะนำให้ 7. ถ้ามีสิวอักเสบมาก ต้องกินยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมควบคู่ไปด้วย หรืออาจจำเป็นต้องได้รับยา isotretinoin (Roaccutane) ซึ่งเป็นยารักษาโรคสิวที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย เมื่อใช้ตามข้อบ่งชี้และภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนัง ผู้ที่ได้รับยาตัวนี้ต้องไม่ตั้งครรภ์เพราะเด็กจะพิการ 8. กินยาให้ครบและสม่ำเสมอ

9. หากมีปัญหา หรือข้อสงสัยในเรื่องสิว และแนวทาง การรักษา ควรสอบถามจากแพทย์ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจน

โรคสิวนั้นจัดเป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยที่สุด หากเข้าใจเรื่องของโรคสิวอย่างดีพอ และดูแลรักษาตนเองอย่างถูกต้อง ย่อมช่วยให้การรักษาโรคสิวเป็นไปอย่างได้ผล และลดภาวะแทรกซ้อน เช่น การเกิดแผลเป็นลงได้มาก

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เตือนห่วงสุขภาพตับ งดกินพาราฯควบกาแฟ


เตือนห่วงสุขภาพตับ งดกินพาราฯควบกาแฟ
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 30 กันยายน 2550 13:24 น.

นักวิจัยแนะงดดื่มกาแฟระหว่างกินยาพาราเซตามอลเอเจนซี - เตือนการดื่มกาแฟระหว่างกินยาพาราเซตามอล อาจทำให้ตับเสียหายรุนแรงพอๆ กับการกินยาแก้ปวดขณะดื่มเหล้า ปกติแล้ว การกินยาพาราเซตามอลเกินขนาดแค่เล็กน้อยก็สามารถทำให้ตับเสียหายถาวร นอกจากนั้น นักวิจัยยังรู้ดีว่า การดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปจำนวนมาก อาจทำปฏิกิริยาให้ยาชนิดนี้กลายเป็นพิษมากขึ้น กระนั้น งานวิจัยนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ชี้ว่าการกินยาพาราเซตามอลและดื่มกาแฟ อาจส่งผลร้ายเช่นเดียวกันปัจจุบัน มีการเติมคาเฟอีนลงไปในยาพาราเซตามอล เพราะเชื่อว่าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการระงับปวด ทว่า นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันเห็นว่า ควรจำกัดปริมาณคาเฟอีนระหว่างกินยาพาราเซตามอลดร.ซิด เนลสันแจงว่า ข้อแนะนำนี้ไม่ได้หมายความให้เลิกกินยาพาราเซตามอลหรือเลิกกินผลิตภัณฑ์ที่มีคา­เฟอีน เพียงแต่ต้องระวังมากขึ้นถ้ากินพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะถ้าดื่มแอลกอฮอล์มาด้วยในการศึกษานี้ นักวิจัยใช้แบคทีเรียอีโคไลที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมให้ผลิตสารเคมีสำคัญที่ป­อดใช้ในการย่อยสลายยาพาราเซตามอล นักวิจัยพบว่าเมื่อผสมพาราเซตามอลกับคาเฟอีนในปริมาณมาก จะทำให้เกิดสารพิษที่เป็นอันตรายต่อตับเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าดร.เนลสันอธิบายว่า สำหรับคนปกติ ปอดจะเสียหายรุนแรงหากดื่มกาแฟ 20-30 แก้วระหว่างกินยาแก้ปวด แต่สำหรับบางคนอาจได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันแม้กินยาแก้ปวดหรือกาแฟไม่มากนัก เช่น คนที่กินยาแก้โรคลมบ้าหมู หรือเซนต์จอห์นส์เวิร์ต ซึ่งเป็นสมุนไพรบำบัดอาการซึมเศร้า ที่มีฤทธิ์ทำให้ร่างกายผลิตสารพิษออกมามากกว่าปกติเมื่อตับย่อยสลายพาราเซตามอลนอกจากนั้น วารสารเคมิคัล รีเสิร์ชรายงานว่า ตัวคาเฟอีนเองสามารถทำลายตับของหนูที่เป็นโรคตับอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน เดือนที่ผ่านมา มีข่าวว่าพนักงานเสิร์ฟสาวคนหนึ่งในอังกฤษ ถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วยอาการไข้ขึ้นสูงและใจสั่น หลังซดเอสเปรสโซไป 14 แก้วอนึ่ง แม้พาราเซตามอลมีประโยชน์มากกว่าแค่ระงับปวด โดยมีการวิจัยก่อนหน้านี้ว่า ผู้หญิงที่กินยานี้เป็นประจำมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่ลดลง 30% ทว่า หากใช้ไปนานๆ อาจเป็นอันตรายต่อตับและไต รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคความดันโลหิตสูงและโรคหลอดเลือดสมอง

ความรู้เล็กๆ เกี่ยวกับ แผลในช่องปาก หรือ ร้อนใน



ความรู้เล็กๆ เกี่ยวกับ แผลในช่องปาก หรือ ร้อนใน
เป็นแผลสีขาวขาว เจ็บ ที่ริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม และเหงือกบ่อยๆ เรียกว่า เป็นแผล ร้อนใน ซึ่งแผลในลักษณะนี้เกิดขึ้นได้จากมีความเครียด ... หรือท้องผูก ... มีการกัดโดนริมฝีปาก กระพุ้ง แก้ม ... หรือเป็นแผล หรืออนามัยช่องปากไม่ดีการรักษา ทำได้โดย พยายามหาวิธีการลดความเครียด เพื่อผ่อนคลาย เลือกรับประทาน อาหารที่มีกาก และดื่มน้ำมากๆ ระวังไม่ให้เกิดแผลในช่องปาก ซึ่งอาจเกิดได้จากอาหารที่มีความคม แข็ง เช่น ก้าง ปลา และรักษาอนามัยช่องปากให้สะอาดโดยปกติแล้ว แผลในลักษณะนี้ จะหายไปเองใน 7 วัน ในวันแรก ของการเป็นแผลอาจมี อาการปวดแสบปวดร้อนมากได้ อาจใช้ยาบางชนิด เช่น จำพวกคอร์พิโซน ทาบริเวณแผล จะช่วยลดอาการลงได้ และหากภายใน 2 สัปดาห์ แผลยังไม่หาย หรือเป็นแผลมากขึ้นกว่าเดิม ควรรีบไปพบทันตแพทย์

เป็น " สิว "บอกอะไรได้มากกว่าที่คิด

เป็น " สิว "บอกอะไรได้มากกว่าที่คิด
สิวผุดขึ้นมาแต่ละเม็ด แต่ละเม็ด ก็ทำให้หนุ่มสาวหน้าใสที่ห่วงสวยห่วงหล่อแทบคลั่ง วิ่งหาวิธี delete สิวออกไปจากใบหน้ากันให้วุ่นวาย แต่จะมีซักกี่คนที่จะรู้ว่าเป็นสิวไม่ใช่แค่บอกว่าสุขภาพผิวหน้าเราไม่ดี แต่ยังบอกถึงสุขภาพทั่ว ๆ ไปอีกด้วย เมื่อเร็ว ๆ นี้ สถาบัน Leonard Drake ได้คิดค้นวิธีการวิเคราะห์ผิวลงไปลึกลงไปอีก ด้วยการผสานความรู้ในการดูแลผิวหน้าแบบตะวันตกเข้ากับศาสตร์การอ่านใบหน้าแบบจีน ซึ่งสามารถบอกได้ว่าสิวที่ขึ้นตามตำแหน่งต่าง ๆ ของใบหน้าหรือร่างกาย บอกความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนในบ้าง ว่าแล้วก็ไปหยิบกระจกมาส่องหน้าดูซิว่า อวัยวะส่วนใดผิดปกติกันบ้าง

โซนที่ 1
ตำแหน่งของสิว :หน้าผากด้านซ้าย
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :การย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ ต่อมหมวกไต
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :มีความเครียดสูง ล้างหน้าไม่สะอาด เพราะทารองพื้นหรือแต่งคิ้วมากไป

โซนที่ 2
ตำแหน่งของสิว : หว่างคิ้ว
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : ตับ
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :อาจมีปัญหาในการย่อยแลคโทส (ดื่มนมไม่ได้)การรสจัดหรืออาหารกินอาหารดึกเกินไป

โซนที่ 3
ตำแหน่งของสิว : หน้าผากด้านขวา
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :การย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ ต่อมหมวกไต
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :มีความเครียดสูง ล้างหน้าไม่สะอาด เพราะทารองพื้นหรือแต่งคิ้วมากไป

โซนที่ 4,10
ตำแหน่งของสิว : ใบหูทั้ง 2 ข้าง
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :ไต
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :ล้างแชมพูหรือสบู่ออกไม่หมด ใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไป ดื่มกาแฟ แอลกอฮอล์หรือกินเนื้อสัตว์มากเกินไป

โซนที่ 5,9
ตำแหน่งของสิว: แก้มทั้ง 2 ด้าน
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :
- แก้มส่วนบน ไซนัสและปอด
- แก้มส่วนล่าง เหงือก และฟัน
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :สูบบุหรี่จัด หรือแพ้ควันบุหรี่ ภูมิแพ้ เป็นหวัดเรื้อรัง หรืออาจใช้บลัชออนและรองพื้นไม่เหมาะสม ถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้มอาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอดหรือการหายใจ ถ้ามีสิวแบบเป็น ๆ หายๆ ที่แก้มด้านล่างอาจมีปัญหาเรื่องเหงือกและฟัน หรือโทรศัพท์มือถือไม่สะอาด

โซนที่ 6, 8
ตำแหน่งของสิว :รอบดวงตาทั้ง 2 ข้าง
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :ไต และปัญหาภูมิแพ้
เสาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :ครื่องสำอางทีใช้อาจไม่เหมาะ หรือใส่แว่นาที่เสียดสีมาก รอยคล้ำอาจเกิดจากการมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก หรือผักผ่อนน้อย เปลือกตาหากมีความระคายเคืองอาจมาจากการเป็นภูมิแพ้ หรือขาดสารอาหาร

โซนที่ 7
ตำแหน่งของสิว: จมูก และเหนือริมฝีปาก
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :หัวใจ และระบบสืบพันธุ์
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :หากมีผิวสีแดงเข้มที่จมูก อาจบ่งบอกถึงโรคความดันโลหิตสูง การอุดตันหรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ บอกถึงผลกระทบจากฮอร์โมน เช่นกำลังมีประจำเดือน วัยทอง การใช้ยาคุมกำเนิด

โซนที่ 11,13
ตำแหน่งของสิว :ใต้ริมฝีปากด้านซ้าย และขวา
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :รังไข่
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ: อาจทำความสะอาดได้ไม่พอ หรือมาจากความสมดุลทางฮอร์โมน หากมีปัญหาการอุดตันช่วงใบหู อาจแสดงว่าฟันกรามมีปัญหา หรือว่าเพิ่งผ่าตัดฟันมา หรืออาจเกิดจากการมีรอบเดือน

โซนที่ 12
ตำแหน่งของสิว :ปลายคาง
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก

สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :อาจกินอาหารรสจัดเกินไปจนลำไส้มีปัญหาในการดูดซึม

โซนที่ 14
ตำแหน่งของสิว ลำคอ และหน้าอก
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :ความเครียด วันนี้ถ้าส่องกระจกดูสิว ก็อย่าลืมสังเกตสุขภาพร่างกายไปพร้อม ๆ กันด้วยนะคะ

วิธีแก้ไขปัญหา"หน้ามันเยิ้ม"



เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่น เนื่องจากมีอิทธิพลของฮอร์โมนเพศ ที่เพิ่มขึ้นไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากขึ้น แต่บางคนคิดว่าตัวเองพ้นวัยรุ่นมานานแล้ว ทำไมยังหน้ามันไม่หายสักที นั่นเป็นเพราะยังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง ที่ส่งผลต่อความมันบนใบหน้า ความเครียด, การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในหญิงมีครรภ์, ความร้อน และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสม



*ส่วนความเชื่อที่ว่าการรับประทานของมันๆ*เช่น ขาหมู, ไอสกรีม, กะทิ แล้วจะทำให้หน้ามันนั้นเป็นการเข้าใจผิดค่ะ เพราะเป็นไขมันคนละชนิด กับที่หลั่งออกมาสู่ผิวหนัง



*ปัญหาที่พบคู่กันกับคนหน้ามันคือ*รูขุมขนกว้าง ซึ่งจะสัมพันธ์กับปริมาณไขมันที่ผลิตจากต่อมไขมัน และหลั่งออกสู่ผิวหนังที่มากขึ้น เพราะถ้าไขมันเหล่านี้ไม่สามารถระบายออกไปได้ ก็จะเกิดการอุดตันเกิดเป็นสิวตามมาให้กลุ้มใจอีกเรื่อง



*การดูแลรักษาผิวหน้า สำหรับคนหน้ามัน*



1. ควรล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2-3 ครั้งก็พอ เพราะการล้างหน้าบ่อยเกินไป กลับจะเป็นโทษคือทำให้ผิวหน้าอักเสบระคายเคืองได้ ในระหว่างวันถ้ารู้สึกรำคาญหน้ามันก็อาจใช้กระดาษซับมันช่วยได้ สบู่หรือโฟมที่เลือกใช้ควรผลิตสำหรับผิวมันโดยเฉพาะ หรืออาจใช้เป็นสบู่เด็กก็พอ ไม่ควรใช้สบู่ที่ฟอกแล้วหน้าตึงมาก



2. ครีมบำรุงหรือครีมให้ความชุ่มชื้น ควรเลือกชนิดปราศจากน้ำมัน (Oil-free) และไม่อุดตันรูขุมขน (Non-Comidogenic) และควรมีสารป้องกันแสง UV ที่จะมาทำลายผิวด้วย



3. การแต่งหน้า ถ้าเป็นไปได้แป้งที่เหมาะสม สำหรับคนหน้ามันก็คือแป้งฝุ่น แต่ถ้าจำเป็นต้องแต่งหน้าก็อาจใช้แป้งฝุ่นก่อนจึงค่อยแต่งหน้า การเลือกใช้รองพื้นควรใช้ชนิดที่มีส่วนผสมเป็นน้ำ (Water Based) และปราศจากน้ำมัน (Oil-free)



ถ้าปฏิบัติด้วยวิธีดังกล่าวแล้วยังมีหน้ามันมาก มีรูขุมขนกว้างหรือมีสิวขึ้นจนขาดความมั่นใจ ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพราะคุณหมอจะมียาทาบางชนิดที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน ช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ที่อุดตันตามรูขุมขนออกไป เช่น ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ, AHA, BHA ฯลฯ ทำให้ผิวหน้าดูดีขึ้น



ส่วนยารับประทานที่ควบคุมความมันบนใบหน้า เป็นยาอันตรายนะคะ! ซื้อทานเองหรือเอาไปแบ่งเพื่อนทานก็ไม่ได้ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น





"วิตามินซี" เพื่อสุขภาพ
มาทำความรู้จักกับ “วิตามินซี” กับบทบาทสำคัญ ... คุณสมบัติที่โดดเด่นของวิตามินซี ก็คือ ความเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) นั่นเอง โดยประโยชน์หลักๆ เมื่อร่างกายได้รับวิตามินซีเป็นประจำ คือ เพิ่มภูมิต้านทานแก่ร่างกาย ป้องกันการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง บำรุงผิวพรรณหรือชะลอความแก่ ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันหรือเหงือกอักเสบ ในทางกลับกัน หากร่างกายเราขาด “วิตามินซี” หรือมีปริมาณวิตามินซีน้อยเกินไป อาจส่งผลทำให้เกิดอาหารเหล่านี้ได้


- เป็นหวัดง่าย ภูมิต้านทานโรคและความสามารถในการกำจัดพิษลดลง


- ผิวหนังขาดความยืดหยุ่น เกิดจุดด่างดำ ฝ้า มีเลือดออกตามไรฟัน


- อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง ประสาทสัมผัสด้อยลง


- มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะ ตับ และส่วนอื่นๆ


- ประสิทธิภาพของต่อมหมวกไตลดลง เป็นภูมิแพ้ได้ง่าย


- เป็นโรคโลหิตจาง หรือโรคต่างๆ ง่าย บาดแผลหายยาก หากขาดมากจะเป็นโรค โลหิตเป็นพิษ


- เกิดโรคลักปิดลักเปิด


สำหรับผู้ที่กำลังกลุ้มใจ เพราะไม่รู้ว่าจะหาวิตามินซีมาทานได้จากที่ไหน ... อยากจะบอกว่า ความจริงแล้วแหล่งของวิตามินซี เราสามารถหาได้จาก อาหารที่มีอยู่ในธรรมชาติทั่วไป แต่แหล่งที่มีมาก คือ ผักสดและผลไม้ต่างๆ โดยเทียบง่ายๆ จากประเภทของอาหาร (100 กรัม) และวิตามินซี


(มิลลิกรัม)ดังนี้ มะขามป้อม 276, ฝรั่ง 160, พุทรา 154, มะขามเทศ 133, มะปรางสุก 107, มะละกอสุก 73,แคนตาลูป 33, มะนาว 25 และมะยม 8อย่างไรก็ตาม พึงตระหนักไว้ว่า “วิตามินซี”เป็นวิตามินที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับวิตามินอื่นๆ และร่างกายไม่สามารถผลิตขึ้นได้เอง ดังนั้น ทุกคนจึงควรบริโภควิตามินซี แต่จะมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับความต้องของแต่ละบุคคล