ปฏิทิน

ราตรีชมพูอมส้ม

ME

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

อันตรายที่มากับความหวาน


1. ภาวะเลือดเป็นกรดเกิดจากการที่มีน้ำตาลเชิงเดี่ยวจากน้ำตาลทราย น้ำผึ้ง ผลไม้ นม วิ่งเข้าสู่กระแสเลือดเป็นจำนวนมาก จนทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรด ร่างกายต้องแก้ปัญหาโดยการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่างๆ เข้ามาในเลือด เพื่อปรับความเป็นกรดให้สมดุล ร่างกายจึงขาดสารอาหารจนอ่อนเพลีย หมดเรี่ยวหมดแรง กระดูกเปราะ นี่คือเหตุผลว่าทำไมสาวหวานถึงได้บอบบาง ป่วยง่ายหายช้ากันนัก
2. ฟันผุคนที่มีน้ำตาลเกาะอยู่ที่ผิวเคลือบฟันตลอดวัน มักจะฟันผุและมีกลิ่นปาก เพราะคราบน้ำตาลที่เกาะอยู่ก็คืออาหารโต๊ะจีนสุดหรูท ี่แบคทีเรียในช่องปาก ช้อบ..ชอบ
3. อารมณ์เสีย หงุดหงิด ขี้โมโหนี่คือลักษณะเด่นของคนที่ชอบความหวานเลยเชียว เพราะการมีน้ำตาลในเลือดมากทำให้ตับอ่อนต้องทำงานหนัก และขับอินซูลินออกมามากเกินไป เมื่อมีอินซูลินในสมองมาก เราจะเครียดจนกลายเป็นคนขี้โมโห ควบคุมอารมณ์สติไม่ค่อยได้
4. ง่วงเหงาหาวนอนตลอดเวลาเมื่อมีน้ำตาลในเลือดมากจนเลือดเป็นกรด ร่างกายจะไม่ส่งเลือดแบบนั้นขึ้นไปเลี้ยงสมอง ทำให้สมองขาดเลือด เราจึงง่วงซึม คิดอะไรไม่ออกไปทั้งวัน

อ้วน น้ำหนัก - คุณควรรับประทานอาหารที่มีสัดส่วน ไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรตเท่าใด


อ้วน น้ำหนัก - คุณควรรับประทานอาหารที่มีสัดส่วน... มีข้อถกเถียงกันครับ ระหว่างสัดส่วนของอาหารแบบใดที่มีประสิทธิภาพมากกว่ากันในการลดน้ำหนัก ผมหมายถึงสัดส่วนระหว่าง ไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตครับ มีการทดลองมากมายที่พบว่าอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ โปรตีนสูง ( เช่น Atkins' Diet ) ช่วยให้ลดน้ำหนักที่ 3 ถึง 6 เดือนได้มากกว่าการรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ แต่หลังจากนั้นในระยะยาวไม่แตกต่างกัน
ในทางตรงกันข้ามมีบางการศึกษาครับที่พบว่าการรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตสูง - ไขมันต่ำมาก ช่วยลดน้ำหนักได้ดีกว่าการรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตปานกลาง - ไขมันต่ำ มีการศึกษาที่พบว่าการรับประทานอาหารไขมันต่ำช่วยลดน้ำหนักได้ดีกว่าการรับประทานอาหารแบบไขมันปานกลาง และก็มีการศึกษาที่พบว่าการรับประทานคาร์โบไฮเดรตต่ำลดน้ำหนักได้ดีกว่าการรับประทานอาหารไขมันต่ำ
มีการศึกษาพบว่าการรับประทานอาหารโปรตีนสูง หรือโปรตีนต่ำก็ไม่แตกต่างกัน
คำถามครับ คนอ้วนควรรับประทานอาหารที่มีสัดส่วนอย่างไร ?
มีการศึกษาหนึ่งครับที่ให้อาสาสมัครที่อ้วน 811 ราย แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม รับประทานอาหารที่มีสัดส่วนพลังงานจากไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตดังต่อไปนี้ครับ
· กลุ่มที่ 1 ไขมัน 20% โปรตีน 15% คาร์โบไฮเดรต 65% ( ไขมันต่ำ โปรตีนปานกลาง )
· กลุ่มที่ 2 ไขมัน 20% โปรตีน 25% คาร์โบไฮเดรต 40% ( ไขมันต่ำ โปรตีนสูง )
· กลุ่มที่ 3 ไขมัน 40% โปรตีน 15% คาร์โบไฮเดรต 45% ( ไขมันสูง โปรตีนปานกลาง )
· กลุ่มที่ 4 ไขมัน 40% โปรตีน 25% คาร์โบไฮเดรต 35% ( ไขมันสูง โปรตีนสูง )
โดยที่ส่วนประกอบของอาหารแต่ละกลุ่มใช้เหมือนกัน แต่ใช้สัดส่วนที่ต่างกัน และเปรียบเทียบระหว่างไขมันสูง - ไขมันต่ำ, โปรตีนสูง - โปรตีนต่ำ และเปรียบเทียบระหว่างคาร์โบไฮเดรตสูง - คารโบไฮเดรตต่ำ โดยที่มีไขมันอิ่มตัวที่ต่ำไม่เกิน 8% และให้ได้ใยอาหารอย่างน้อย 20 กรัมต่อวัน โคเลสเตอรอลน้อยกว่า 150 มิลลิกรัมทั้งสี่กลุ่ม
อาสาสมัครทั้งสี่กลุ่มจะได้รับการชั่งน้ำหนักและวัดรอบเอว และอาสาสมัครจะได้รับแบบสอบถามถึงอาการ เช่น ความหิว พฤติกรรมการรับประทานอาหาร ก่อนเริ่มการทดลอง และที่ 6 เดือน - 2 ปี
อาสาสมัครจะถูกเจาะเลือดเพื่อตรวจวัดระดับน้ำตาล อินซูลิน เพื่อมองหาภาวะแทรกซ้อนจากความอ้วน เช่น ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน
ผลปรากฎครับว่าระยะเวลา 6 เดือน อาสาสมัครในแต่ละกลุ่มลดน้ำหนักลงเฉลี่ยได้ 6 กิโลกรัม ( ประมาณ 7% ของน้ำหนักตัว )
หลังจากนั้นอีก 2 ปี น้ำหนักที่ลดลงพอๆ กันทั้งในกลุ่มที่รับประทานโปรตีน 15% และในกลุ่มที่รับประทานโปรตีน 25% ครับ
และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่รับประทานคาร์โบไฮเดรต 65% และในกลุ่มที่รับประทานคาร์โบไฮเดรต 35% นั้นก็ไม่แตกต่างกัน
น้ำหนักที่ลดลงเร็วมากกว่าในกลุ่มที่รับประทานไขมันต่ำ ในขณะที่การรับประทานโปรตีนที่มากขึ้นก็ช่วยให้น้ำหนักลดลงได้เร็วกว่าด้วยเช่นกัน แต่ท้ายที่สุดไม่แตกต่างกันในระยะยาว
ทีนี้มาดูความเสี่ยงของอาหารในแต่ละกลุ่มกันบ้างครับ
ในกลุ่มที่ 1 นั้นสามารถลดระดับโคเลสเตอรอลชนิดเลว ( LDL ) ได้มากกว่าในกลุ่มที่ 4 ( 5% ต่อ 1% ) ( อาหารไขมันต่ำลดระดับโคเลสเตอรอลได้มากกว่าอาหารไขมันสูง )
ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ไม่แตกต่างกันระหว่างกลุ่ม
ทุกกลุ่มยกเว้นกลุ่มที่ 1 สามารถช่วยลดระดับอินซูลินลงได้ โดยเฉพาะอาหารโปรตีนสูง
ความดันโลหิตไม่แตกต่างระหว่างกลุ่ม
ผลข้างเคียง
ไม่แตกต่างระหว่างกลุ่ม แต่ในกลุ่มที่รับประทานโปรตีนปานกลางถึงสูงจะพบว่ามีโปรตีนปนออกมาในปัสสาวะ
สรุปจากงานวิจัยชิ้นนี้ครับ
ในการลดน้ำหนัก สัดส่วนระหว่าง ไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรตเท่าใดอาจไม่มีผลในการลดน้ำหนักในระยะยาว การรับประทานอาหารไขมันต่ำ หรือโปรตีนสูงมากขึ้น อาจช่วยให้ลดน้ำหนักลงได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่ท้ายที่สุดนั้นในระยะยาวอาจไม่แตกต่าง แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าในการลดน้ำหนักคือ การควบคุมแคลอรี่ให้ได้ต่างหากครับ
แต่ว่าสิ่งที่กำหนดว่าคุณควรรับประทานอาหารเช่นใด ให้มาดูเรื่องความเสี่ยงกันดีกว่าครับ อาหารไขมันต่ำช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลได้มากกว่าอาหารไขมันสูง ตรงนี้คือกุญแจครับ ความอ้วนไม่ใช่แค่เรื่องน้ำหนักที่เกิน แต่ยังเป็นเรื่องของสุขภาพด้วย ดังนั้นคุณควรรับประทานอาหารที่มีไขมันให้น้อยลงด้วยครับ
และนอกจากนี้ถ้าคุณเป็นเบาหวาน การรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณสูงขึ้นด้วยครับ
อาหารประเภทโปรตีน กับอาหารประเภทไขมันค่อนข้างจะแยกกันยากครับ เพราะการรับประทานโปรตีนมากขึ้นก็ย่อมหมายความว่าคุณจะได้รับไขมันอิ่มตัวจากสัตว์มากขึ้นด้วยเช่นกัน
ประเด็นคือคุณไม่ควรรับประทานอาหารประเภทใดประเภทหนึ่งแบบสุดโต่ง เพราะการรับประทานอาหารไขมัน โปรตีน หรือคาร์โบไฮเดรตแบบสุดโต่งเกินไป ไม่ช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ในระยะยาว
· อาหารคาร์โบไฮเดรตที่ต่ำ ย่อมหมายถึงคุณรับประทานอาหารไขมัน - โปรตีนสูงขึ้น ผลคือระดับโคเลสเตอรอลในเลือดของคุณก็จะสูงขึ้น
· อาหารคาร์โบไฮเดรตสูง ทำให้ระดับอินซูลินในเลือดสูงขึ้น
· อาหารไขมันสูง แน่นอนครับระดับโคเลสเตอรอลในเลือดก็จะสูงขึ้น
· อาหารโปรตีนสูง ก็ย่อมที่จะมีไขมันสูง และจะทำให้คุณมีระดับโคเลสเตอรอลในเลือดที่สูงขึ้น
อาหารคาร์โบไฮเดรตสูง ทำให้ระดับอินซูลินในเลือดสูงขึ้น
อาหารไขมันสูง แน่นอนครับระดับโคเลสเตอรอลในเลือดก็จะสูงขึ้น
อาหารโปรตีนสูง ก็ย่อมที่จะมีไขมันสูง และจะทำให้คุณมีระดับโคเลสเตอรอลในเลือดที่สูงขึ้น
ดังนั้นผมแนะนำสัดส่วนของอาหารที่สมดุล คือ กุญแจในการลดน้ำหนักแลุะสุขภาพที่ดีครับ
ในการลดน้ำหนัก ไม่ใช่แค่น้ำหนักตัวเท่านั้นครับ คุณยังต้องกำจัดปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลต่อหัวใจของคุณด้วยครับ

น้ำหนัก - เรื่องของยาลดน้ำหนัก Orlistat ( Xenical )


อ้วน น้ำหนัก - เรื่องของยาลดน้ำหนัก Orlistat ( Xenical ) ความอ้วนเป็นปัญหาที่มักต้องการการรักษาครับ กล่าวโดยสรุปก็คือพลังงานที่ได้รับเข้าไปมากเกินกว่าการใช้พลังงานของร่างกาย ปัญหาของความอ้วนได้แก่ โรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบตัน ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง เบาหวาน โคเลสเตอรอล/ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง มะเร็งบางชนิด ข้อเข่าอักเสบ นิ่วในถุงน้ำดี
แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะควบคุมอาหารและตนเองไม่ได้ ( หรือจะบอกกับผมว่าไม่จริง และการเพิ่มการออกกำลังกายก็เป็นพฤติกรรมที่นำไปสู่การควบคุมน้ำหนักได้อย่างยั่งยืน )
อ้วน โดยทั่วไปแล้วผู้ที่พยายามที่จะลดน้ำหนักมักจะพยายามแสวงหาวิธีการต่างๆ ที่จะช่วยให้ตนลดน้ำหนัก เช่นการใช้อุปกรณ์ช่วย การควบคุมโดยการอดอาหาร การให้เพื่อนช่วย การใช้ยาลดน้ำหนัก การผ่าตัด การใช้อาหารเสริม หนึ่งในนั้นก็จะมียาลดน้ำหนักครับที่มีชื่อว่า Oristat
ในทางการแพทย์ก็จะมีวิธีการลดน้ำหนักครับได้แก่การใช้ยา ซึ่งยาส่วนใหญ่นั้นได้ถูกถอนออกจากตลาดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังมียาที่มีชื่อว่า sibutramine ที่ยังใช้กันอยู่ ในบางคนอาจมีข้อบ่งชี้สำหรับการผ่าตัดลดน้ำหนัก การผ่าตัดนั้นสามารถช่วยให้น้ำหนักลดลงได้มากกว่า 50% ช่วยลดระดับน้ำตาล ลดโคเลสเตอรอลในเลือดได้มาก แต่แน่นอนครับก็ยังมีความเสี่ยงจากการผ่าตัดอยู่
Oristat
อ้วน Oristat เป็นยาที่มีตัวยา Xenical วางตลาดตั้งแต่ปี 1999 กลไกก็คือยับยั้งการสร้างเอนไซม์ไลเปสในทางเดินอาหารครับ เอนไซม์ไลเปสทำหน้าที่ในการย่อยไขมัน ดังนั้นไขมันจะไม่ถูกย่อย ไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด โดยทั่วไปแล้วปริมาณไขมันจะลดปริมาณการถูกดูดซึมลงไปราว 30%
ถามว่ายา Oristat หรือ Xenical ลดน้ำหนักได้มากเพียงใด ตามการวิจัยเฉลี่ยลดได้เฉลี่ยที่ประมาณ 10% ของน้ำหนักตัวครับ ถ้าคุณต้องการลดมากกว่านั้นอย่างไรก็ต้องออกกำลังกายเพิ่มเติมด้วยครับ
ผลข้างเคียงของ Orlistat
อ้วน ผลข้างเคียงนั้นเกิดขึ้นเนื่องมาจากกลไกการทำงานของตัวมันเองครับ เมื่อไขมันไม่ถูกย่อย และไม่ถูกดูดซึมก็จะออกมาพร้อมกับอุจจาระ ทำให้อุจจาระนั้นมีไขมันปนออกมาอาจจะมีอุจจาระออกมาก และควบคุมปริมาณการขับถ่ายได้ลำบาก และปวดท้องได้ครับ
ผู้ป่วยที่รับประทานยา Oristat อาจต้องรับประทานวิตามินเสริมครับ ที่มีส่วนประกอบของเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ ดี อี เค ด้วยครับ เนื่องจากยา Orlistat ลดการดูดซึมของไขมันจึงทำให้ลดการดูดซึมของวิตามินเหล่านี้ลงไปด้วย อาจทำให้คุณขาดวิตามินเหล่านี้ได้
อ้วน วิธีการลดผลข้างเคียงที่เกิดจากยา Orlistat ก็คือการลดอาหารที่มีไขมันครับ ซึ่งจะทำให้ไขมันออกมาทางอุจจาระมีปริมาณที่ลดลงได้

ภัยจากการอดอาหาร


1. กล้ามเนื้อฉันอยู่ไหนที่จริงกล้ามเนื้อของคุณมันก็อยู่ที่เดิมนั่นล่ะ แต่อ่อนเพลียไม่มีเรี่ยวแรงซะจนแทบจะจำไม่ได้ว่ามันยังอยู่ตรงนั้น อาการนี้เกิดจากการขาด โปรตีน ไม่ว่าคุณจะลดความอ้วนหรือไม่ก็ตาม โปรตีนก็ยังเป็นสารอาหารที่จำเป็นอยู่ ถ้าไม่อยากให้น้ำหนักเพิ่มก็ทานแต่เนื้อ งดหนัง ไขมัน ของทอด ร่างกายจะได้สดชื่นไม่เพลียและไม่อ้วนด้วย
2. ท้องผูกเรื้อรังอาการนี้มาจากการอดน้ำ ไม่ทานผัก และอดข้าวจนไม่มีกากใยในลำไส้มากพอจะไปขับเคลื่อนของเสียเก่าๆ ออกมา นอกจากนี้คนที่ลด ความอ้วนด้วยการอดอาหารมักจะเพลียจนไม่อยากออกกำลังกาย การไม่เคลื่อนไหวก็เป็นอีกสาเหตุทำให้ระบบขับถ่ายไม่ทำงานจนผูกได้ ผูกดี
3. หน้าซีด ตัวแห้งคนขาดอาหารร้อยทั้งร้อยจะหน้าซีด ผิวโทรมแห้ง ไม่มีน้ำมีนวล เพราะขาดทั้งสารอาหาร ขาดทั้งน้ำ เนื่องจากน้ำส่วนใหญ่ที่ร่างกายเราได้ รับมาจากอาหาร ในหนึ่งวันร่างกายต้องการน้ำจากการดื่มโดยตรง 1,500-2,000 ซีซี (6-8 แก้ว) และน้ำที่มากับอาหารอีก 1,000-2,000 ซีซี เวลาที่ไม่ทานอะไรเลยทั้งวัน ถึงคุณจะดื่มน้ำมากแล้วแต่ก็จะยังรู้สึกผิวแห้งอยู่ ก็เพราะสาเหตุนี้เอง

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

วิธีดูแล สุขภาพผิวที่ดี



หมอแนะวิธีดูแล สุขภาพผิวที่ดี


ความเครียด, มลภาวะ, การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ รวมถึงการอยู่ในห้องแอร์นานๆ ล้วนแต่เป็น สาเหตุให้ผิวขาดน้ำ, แห้งตึง, ไม่เปล่งปลั่งสดใส, ขาดความนุ่มนวล, บอบบางระคายเคือง ได้ง่าย จนในที่สุดหน้าเหี่ยวและเจอตีนกาถามหาก่อนวัยอันควร


ในงาน “Vichy...The Source of True Beauty” เมื่อเร็วๆนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง “นพ.ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริ” เปิดประเด็นว่า ผิวหนังเป็นอวัยวะที่สำคัญ เพราะเกี่ยวข้อง กับการหายใจ ทำหน้าที่ปกป้องฝุ่นละออง และห่อหุ้มร่างกายให้ดูสวยงาม แต่ทุกวันนี้ ผิวของ เราต้องดูดซับมลพิษทางอากาศเข้าไปมากมาย ไม่ว่าจะเป็นก๊าซพิษ, ฝุ่นละออง, โลหะหนัก และ รังสียูวี ส่งผลให้สุขภาพผิวอ่อนแอบอบบาง และเกิดการระคายเคืองได้ง่าย ทำให้เกิดอาการแพ้ แต่ถ้าใครได้รับสารพิษในปริมาณมาก ก็อาจทำให้กลายเป็นมะเร็งผิวหนังได้


อย่างไรก็ดี ถ้าอยากมีสุขภาพผิวที่ดี คุณหมอแนะนำว่า ต้องเริ่มจากการดูแลตัวเองให้มีสุขภาพ ที่ดี เพื่อความงามของผิวจะได้เปล่งประกายจากภายใน โดยอยู่ในแหล่งที่มีอากาศบริสุทธิ์ อย่างเช่น ไปเที่ยวทะเล, ภูเขา หรืออยู่ในทุ่งกว้าง แล้วหายใจเข้าไปให้เต็มปอด เพื่อจะได้เป็น การฟอกปอดไปในตัว นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว พักผ่อนนอนหลับ ให้เพียงพอ อย่าหักโหมงานหนัก และควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะแร่ธาตุที่สำคัญ ต่อผิว เช่น แร่เหล็กให้ออกซิเจนแก่เซลล์ผิว, แร่แมกนีเซียมช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิว, แร่แมงกานีส ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ, แร่ซิลิเซียมช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อ และแร่แคลเซียมช่วยปกป้องเนื้อเยื่อ. ที่ มา นสพ.ไทยรัฐ

ผิวสวย หน้าใส ด้วยมะพร้าว




ทราบหรือไม่ว่า มะพร้าวก็สามารถทำให้ผิวสวย หน้าใสได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน... อุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด น้ำมะพร้าวถือเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่จากธรรมชาติ (Natural Mineral Drink) เพราะ
อุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ และวิตามินบี แถมยังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้เป็นพลังงานได้ทันทีอีกด้วย ชะลออาการอัลไซเมอร์ การดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วย
ชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ จากผลงานวิจัยของ ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูง ซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง นอกจากนี้ การดื่ม น้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวัน ยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอีกด้วย
ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง น้ำมะพร้าวสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยใสของผิวพรรณ ทำให้เปล่งปลั่งและขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอก เพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ และในน้ำมะพร้าวยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี แถมยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย (คล้ายๆ กับการดีท็อกซ์) จึงช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มีความเป็นกรดสูง ทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก
สปอร์ตดริ๊งค์จากธรรมชาติ เนื่องจากน้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียเนื่องจากอาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้ จึงจัดเป็นสปอร์ตดริ๊งค์ (Sport Drink) สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย นอกจากนี้ ในประเทศไต้หวันและประเทศจีน ยังนิยมดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อลดอาการเมาหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากมีผิวสวย หน้าใส ก็ดื่มน้ำมะพร้าวกันดูได้

ดูแลสุขภาพผิวหนุ่มเพิ่มเสน่ห์



ต้องมีความสะอาดเป็นพื้นฐาน

ตอนนี้การดูแลผิวให้มีสุขภาพดีไม่ใช่เรื่องสำหรับสาวๆ โดยเฉพาะอีกต่อไปแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้หนุ่มๆ (บางคน) เขาก็หันมาใส่ใจในสุขภาพผิวเพิ่มมากขึ้น แต่ด้วยสภาพผิวที่แตกต่างกันระหว่างชายและหญิง การดูแลบำรุงและรักษาผิวให้สวยใสและมีสุขภาพดี จึงต้องดูแลในแบบที่แตกต่างกันออกไป

นพ.ประยูร เจนตระกูลโรจน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลผิวหนัง อโศก ให้คำแนะนำในเรื่องนี้ว่า ผิวของผู้ชายมีความแตกต่างและความละเอียดอ่อนต่างจากผู้หญิง เพราะฮอร์โมนในร่างกายและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน เพื่อเพิ่มเสน่ห์และสร้างความประทับใจให้กับผู้คนที่พบปะ จึงควรใส่ใจดูแลผิวพรรณ ซึ่งจะเป็นปราการด่านแรก โดยเริ่มตั้งแต่การทำความเข้าใจถึงสภาพผิวที่แตกต่าง เรียนรู้การทำความสะอาดขั้นพื้นฐานด้วยการล้างหน้าให้ถูกวิธี และบำรุงปรนนิบัติผิวให้เหมาะกับช่วงวัย


หนุ่มวัยรุ่น

สำหรับหนุ่มน้อยที่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่นจนถึงอายุ 20 ต้นๆ วัยนี้มักจะพบปัญหาเรื่องสิวแตกหนุ่ม ซึ่งเกิดจากฮอร์โมนที่กำลังเปลี่ยนแปลง ทั้งสิ่งแวดล้อมรอบตัวทั้งแดดและฝุ่น รวมทั้งการดูแลความสะอาด ผู้ชายในวัยนี้จะมีระดับฮอร์โมนเพศสูง ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นต่อมสร้างไขมันบริเวณขุมขนให้ผลิตไขมันออกมามากขึ้น และถ้าหากมีไขมันบางส่วนอุดตันตามผิวหนังแล้วเกิดการอักเสบ โอกาสเกิดสิวจะมีมากยิ่งขึ้น ว่าจะเป็นบนใบหน้า ที่หน้าอก หรือแผ่นหลัง

วิธีการดูแล ควรทำความสะอาดผิวให้หมดจดด้วยโฟม หรือสบู่ล้างหน้า แต่ไม่ควรล้างด้วยน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียว พร้อมทั้งรักษาความสะอาดบนใบหน้าและร่างกายให้สะอาด หากมีเหงื่อก็ควรล้างหน้าให้สะอาด วัยนี้ควรเริ่มต้นป้องกันผิวจากแสงแดดด้วยการทาครีมกันแดดเมื่อออกกิจกรรมกลางแจ้ง และบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์สำหรับหนุ่มผิวแห้ง เพื่อเป็นการชะลอริ้วรอยและความแก่ก่อนวัยที่จะมาเยือนในวัยที่มากขึ้น


หนุ่มวัยทำงาน

ข้อได้เปรียบของผู้ชายในวัยทำงานที่มีเหนือผู้หญิงคือ ฮอร์โมนเพศชายจะสร้างต่อมไขมันมากกว่า ผิวผู้ชายแม้จะไม่ได้บำรุงรักษาอะไรมาก ในวัย 30 ปลายๆ ก็จะยังคงดูชุ่มชื้นอยู่ แต่ก็ต้องระวังปัญหาผิวที่จะเกิดจากความเครียด แม้ฮอร์โมนทางเพศจะค่อนข้างคงที่ ไม่ทำให้เกิดสิวมากอย่างช่วงวัยรุ่น แต่ก็มีฮอร์โมนอีกตัวหนึ่งที่อาจทำให้เกิดผลร้ายกับผิว ชื่อฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งปกติแล้วเป็นตัวที่ช่วยให้การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายเป็นไปตามปกติ

อาทิเช่น ควบคุมการทำงานของไทรอยด์ การสร้างกระดูก การเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน การต้านการแพ้ของร่างกาย และเป็นตัวที่ทำให้เรานอนได้เต็มอิ่ม แต่เมื่อมีความเครียดมากๆ การผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลจะผิดปกติ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับร่างกายทั้งกล้ามเนื้ออ่อนแอลง อารมณ์ที่แปรปรวน รวมทั้งการนอนหลับไม่สบาย หลับเท่าไหร่ก็ยังอ่อนเพลีย นอนไม่อิ่ม ซึ่งก็จะทำให้เกิดอาการใต้ตาดำคล้ำ ผิวไม่สดใส รวมทั้งเป็นสิว เพราะยิ่งเครียดเท่าไหร่ สิวก็จะขึ้นมากเท่านั้น

วิธีการดูแลผิววัยนี้ควรเพิ่มขั้นตอนในการทำความสะอาดให้มากขึ้น ควรเพิ่มการดูแลด้วยการบำรุงผิวโดยใช้โทนเนอร์เพื่อปรับสภาพผิวและกระชับรูขุมขน หลังจากนั้นใช้มอยส์เจอไรเซอร์ให้เหมาะกับสภาพผิวเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ป้องกันการเกิดริ้วรอยแห้งเหี่ยวย่น สำหรับผู้มีรูขุมขนกว้างควรเน้นผลิตภัณท์บำรุงผิวที่มีคุณสมบัติในการลดความมัน เพื่อช่วยลดการเกิดสิว เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ ส่วนจะบำรุงเพิ่มเติมอื่นๆ ก็แล้วแต่ปัญหาผิวของแต่ละคน เช่น ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไวต์เทนนิงสำหรับหนุ่มที่อยากมีหน้าขาวใส หรือใช้คอลลาเจนหรือคิวเทนสำหรับหนุ่มที่เริ่มมีปัญหาริ้วรอย


หนุ่มใหญ่วัย 40

ผู้ชายตั้งแต่วัย 40 ปีขึ้นไปจะเป็นวัยที่ผิวเริ่มโรยรา อาจเริ่มเกิดปัญหากับร่างกายที่เห็นได้ชัด ยิ่งเมื่อเข้าสู่วัยทอง ฮอร์โมนเพศชายก็จะยิ่งน้อยลง ผิวของหนุ่มใหญ่วัยนี้จะมีริ้วรอยที่เห็นได้ชัดเจน และมากขึ้นเรื่อยๆ

วิธีการดูแลผิว หากมีเวลาว่างไปตีกอล์ฟหรือต้องออกแดดมากๆ ก็อย่าลืมที่จะทาครีมกันแดดที่มี SPF สูงๆ ที่กันได้ทั้ง UVA และ UVB เพราะ UVA จะเป็นตัวการที่ทำลายโครงสร้างของผิวหนัง ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นดูแก่ก่อนวัย ส่วนรังสี UVB ก็จะทำให้ผิวหนังดำคล้ำ หรือทำให้เซลล์ผิวหนังเปลี่ยนแปลงเป็นมะเร็งผิวหนังได้ และนอกจากการป้องกันดังกล่าวแล้ว การดูแลจากจิตใจภายใน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนอย่างเพียงพอ พร้อมทั้งทาครีมบำรุงให้ผิวชุ่มชื้น ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะทำให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้นได้

เพียงแค่วิธีง่ายๆ จะทำให้คุณผู้ชายหล่อสมวัย แถมยังมีสุขภาพผิวที่แข็งแรงและสดใสอยู่เสมออีกด้วย

ครีมบำรุงผิวหน้า และ ผิวกายต่างกันอย่างไร ใช้แทนกันได้หรือไม่ ? (มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค)


โดย รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล

ครีมบำรุงผิว ที่มีจำหน่ายในท้องตลาดจะพบหลากหลายมากมายจนผู้บริโภคเลือกซื้อไม่ถูก เฉพาะชนิดที่บำรุงผิวหน้า มีทั้ง เดย์ครีม และ ไนท์ครีม ส่วนครีมบำรุงผิวกายนั้นก็มีหลากหลายให้เลือก ฉบับนี้จะแนะนำให้ผู้อ่านเข้าใจองค์ประกอบของครีมบำรุงชนิดต่าง ๆ เพื่อจะได้เลือกซื้อสินค้าที่เหมาะสมกับความต้องการที่แท้จริงโดยไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อสินค้าที่แพงเกินความจำเป็น ผิวหนังตามลำตัวของคนเราจะมีความหนากว่าผิวหน้ามากมาย ทำให้มีความทนทานต่อสิ่งแวดล้อมและไม่แพ้ง่ายต่อสารเคมี ดังนั้นองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับผิวกายโดยทั่วไปจะมีราคาถูกกว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับผิวหน้า

ในทางตรงกันข้าม สารเคมีทุกชนิดที่จะถูกคัดเลือกมาเป็นองค์ประกอบของครีมบำรุงผิวหน้าจะต้องผ่านขบวนการทดสอบว่า ไม่แพ้ง่ายสำหรับคนส่วนใหญ่ องค์ประกอบหลายชนิดที่ใช้สำหรับครีมบำรุงผิวกายจะไม่สามารถใช้ในครีมบำรุงผิวหน้าได้เลย จึงเป็นเหตุให้ครีมบำรุงผิวหน้ามีราคาแพง

อย่างไรก็ตามหากผู้บริโภคท่านใดที่ไม่แพ้ง่าย สามารถทดลองนำครีมบำรุงผิวกายที่ท่านใช้อยู่เป็นประจำมาทาผิวหน้า โดยเริ่มทาบริเวณข้างแก้ม ทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที หากพบว่าไม่มีอาการแดง หรือคันใด ๆ แสดงว่าท่านสามารถใช้ครีมทาผิวกายมาใช้ทาผิวหน้าได้เช่นกัน เนื่องจากประโยชน์ที่ได้จะคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ ครีมบำรุงจะทำหน้าที่ปกป้องผิวหนังไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้นโดยธรรมชาติ แต่ผู้ที่มีอาการแพ้ควรจะหยุดใช้โดยทันที โดยทั่วไป องค์ประกอบของครีมบำรุงผิวจะประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลัก ๆ คือ ส่วนที่เป็นน้ำและส่วนที่เป็นน้ำมันและไขมัน ส่วนที่เป็นน้ำมันและไขมัน จะทำหน้าที่สำคัญคือทำหน้าที่เคลือบผิวหนังเพื่อลดการสูญเสียความชื้นของผิวหนัง ช่วยให้ผิวหนังนุ่มนวล และยังทำหน้าที่ทดแทนน้ำมันธรรมชาติที่ถูกชะล้างออกไประหว่างการอาบน้ำอีกด้วย องค์ประกอบของส่วนน้ำมันและไขมันนี้ มีทั้งชนิดที่สกัดได้จากธรรมชาติ ทั้งจากพืชและจากสัตว์ และได้จากการสังเคราะห์ โดยทั่วไปครีมบำรุงผิวกาย องค์ประกอบในส่วนของน้ำมันและไขมัน มักจะเป็นชนิดสังเคราะห์เป็นส่วนมาก เนื่องจากราคาไม่แพงและมักจะไม่เหม็นหืน แต่หากเป็นองค์ประกอบที่ได้จากพืช มีข้อดีมากมายเนื่องจากมีสารไวตามินและแร่ธาตุโดยธรรมชาติอย่างละเล็กละน้อยเป็นองค์ประกอบ ซึ่งให้คุณค่าต่อผิวได้ดี แต่มีราคาแพง โดยทั่วไปมักจะพบน้ำมันสกัดจากธรรมชาติเหล่านี้ในครีมบำรุงผิวหน้า สำหรับเดย์ครีม เป็นครีมบำรุงผิวหน้า สำหรับทาตอนกลางวัน โดยทั่วไปผู้ผลิตมักจะมีการใส่สารกันแดด เพื่อปกป้องผิวหน้าจากรังสียูวีในระหว่างวัน จึงเหมาะสำหรับทากลางวัน แต่สำหรับไนท์ครีม เป็นครีมบำรุงผิวหน้าที่ผู้ผลิตออกแบบมาเพื่อใช้ทาผิวหน้าตอนกลางคืนก่อนนอน บางยี่ห้อ อาจจะเป็นเพียงครีมบำรุงผิวชนิดพื้น ๆ กล่าวคือมีสารให้ความชุ่มชื้นผิว และสารน้ำมันเพื่อเคลือบผิวเท่านั้น

ถ้าเป็นกรณีนี้สามารถนำไปใช้ทาผิวตอนกลางวันได้ ไนท์ครีมบางยี่ห้อก็อาจจะมีการเติมสารส่วนที่เป็นน้ำมันและไขมันมากเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก และผู้ที่นอนในห้องปรับอากาศซึ่งอากาศจะแห้งมากกว่าปกติ ไนท์ครีมบางชนิดจะมีการเติมสารโปรตีนชนิดคอลลาเจน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวหน้า ซึ่งสามารถใช้ทาหน้าได้ทั้งตอนกลางวันและกลางคืนได้อย่างปลอดภัย แต่ไนท์ครีมบางชนิดจะมีการใส่กรดวิตามินเอ หรือ เรตินอล ซึ่งสารดังกล่าวจะไวต่อแสงมาก จึงควรที่ผู้บริโภคจะใช้ทาเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น หากนำมาทาตอนกลางวัน ผิวหน้าได้รับแสงแดด จะมีอาการแพ้ได้ง่าย เช่น มีอาการแดง คัน แสบ ผิวหน้าจะลอกได้ เป็นต้น

ข้อแนะนำที่สำคัญ คือ ผู้บริโภคควรจะอ่านรายละเอียดของฉลาก เพื่อจะได้เลือกซื้อและเลือกใช้ให้เกิดประโยชน์ตามที่ต้องการได้

สารอันตรายในเครื่องสำอาง


สารอันตรายในเครื่องสำอาง
เครื่องสำอางเป็นผลิตภัณฑ์สิ่งปรุงซึ่งนำมาใช้กับส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อความสะอาด สวยงาม หรือเพื่อส่งเสริมให้ เกิดความสวยงาม ทั้งนี้รวมทั้งเครื่องประทินผิวต่าง ๆ ทุกชนิด
ปัจจุบันผู้บริโภคนิยมใช้เครื่องสำอางกันมาก ทำให้มีการผลิตเครื่องสำอางออกจำหน่ายแข่งขันกันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งมีทั้ง การผลิตที่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ ได้มาตรฐาน ถูกสุขลักษณะและการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน เพื่อจำหน่ายในราคาถูก ปรากฏว่ามีผู้ได้รับอันตรายจากเครื่องสำอางเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ
สารอันตรายในเครื่องสำอาง
อันตรายที่พบเสมอจากการใช้เครื่องสำอางสามารถแยกออกได้เป็น 3 สาเหตุ คือ
สาเหตุที่ 1 จากสารเคมีในเครื่องสำอางซึ่งการผลิตไม่ได้มาตรฐานทำให้เกิดวัตถุมีพิษเจือปน หรือผู้ผลิต เจตนาใส่สารเคมีที่มีอันตรายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่นใส่เฮกซาคลอโรฟินในแป้งโรยตัวเด็กหรือใส่สารประกอบปรอท จำนวนมากเกินมาตรฐาน
สาเหตุที่ 2 จากจุลินทรีย์ในเครื่องสำอางซึ่งเกิดจากการผลิตไม่ได้สุขลักษณะ หรือจากวัตถุดิบที่ไม่สะอาด เพียงพอ อื้อ ฮือ !หน้าเละเชียว!!
สาเหตุที่ 3 การแพ้สารประกอบในเครื่องสำอาง กรณีนี้เกิดเฉพาะผู้บริโภคบางรายเท่านั้น ไม่ได้เกิดกับทุกราย ที่ใช้เครื่องสำอาง
สารเคมีบางชนิดในเครื่องสำอางบางประเภทที่อาจทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ซึ่งผู้บริโภคพึงระมัดระวัง คือ
1. สาร พี วี พี ซึ่งเป็นสารทำละลายที่มีอยู่ในน้ำยาสเปรย์ อาจทำให้เกิดการแพ้หรืออักเสบบริเวณหน้าผาก ข้างหู คอ และยังทำให้ผมแข็ง กรอบ เมธิลอัลกอฮอล์ ในน้ำยาสเปรย์ที่ไม่ถูกมาตรฐาน สารนี้เป็นวัตถุมีพิษ ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้อย่างรวดเร็ว อาจเข้าสู่ร่างกายได้ทั้งการสูดดมและการซึมเข้าทางผิวหนัง
2. สี พาราฟินิลินไดอามิน ในน้ำยาย้อมผม ผู้ที่แพ้สารนี้จะมีอาการรุนแรงมาก หนังศีรษะจะพองบวม มี น้ำเหลืองไหลทำให้นัยน์ตาอักเสบ บวม แดง น้ำตาไหล
3. เกลือโลหะ ในน้ำยาย้อมผม อาจทำให้ผู้ใช้บางรายแพ้โลหะเหล่านี้ได้
4. สี อี โอ ชิน ในลิปสติค ถ้าผู้ใดแพ้ เมื่อโดนแดด ริมฝีปากจะเป็นสีดำคล้ำ
5. เรซิน หรือน้ำมันยางไม้ ในครีมทาขนตาและครีมทาเปลือกตาอาจทำให้เกิดการแพ้ เข้าตาจะทำให้ ตาอักเสบ พร่ามัว บวมแดง หรือผื่นคันที่หนังตา
6. ปรอท แอมโมเนียในครีมลอกฝ้าสารเคมีทั้งสองชนิดนี้ถ้าใช้มากเกินขอบเขตที่กำหนดจะทำให้เกิด อันตรายได้ อาจแพ้ขึ้นผื่นคัน และที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ สารปรอทสามารถดูดซึมเข้าทางผิวหนัง ทำให้เกิดอันตรายต่อ ระบบภายในร่างกายได้ ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุข ควบคุมส่วนผสมของเครื่องสำอางโดยกำหนดให้ใส่สารปรอท แอมโมเนียได้ไม่เกินร้อยละ 3
7. ไฮโดรควิโนน ในครีมลอกฝ้า หากใช้ไปนาน ๆ ผิวจะกลับขาวมากกว่าผิวปกติจนกลายเป็นด่างขาว แทนที่จะสวยกลับจะทำให้น่าเกลียด สารนี้ห้ามใช้เกินร้อยละ 2
8. เฮกซ่าคลอโรฟิน ในแป้งและสบู่ สารนี้เป็นอันตรายต่อเด็กอ่อน ทำให้เกิดแผลที่ผิวหนัง จึงห้ามใช้ในแป้ง และสบู่ที่ใช้กับเด็กอ่อน การเลือกซื้อของสำหรับเด็กอ่อน จึงควรระมัดระวังเรื่องนี้ด้วย
นอกจากสารดังกล่าวนี้ ยังมีสารเคมีอีกหลายชนิดที่อาจเกิดอันตรายหากใช้ปริมาณมากเกินกำหนด หรือใช้ไม่ถูกต้อง ซึ่ง กระทรวงสาธารณสุข ได้ประกาศกำหนดปริมาณสูงสุดที่ให้ใช้ได้ในเครื่องสำอาง และจัดให้เครื่องสำอางที่ใช้สารต่าง ๆ นั้น เป็นเครื่องสำอางที่ควบคุม ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าจะต้องได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุขก่อน จึงจะผลิตหรือ นำเข้าได้
การระมัดระวังอันตรายจากเครื่องสำอาง
การระมัดระวังอันตรายจากเครื่องสำอางสามารถทำได้โดยเลือกซื้อเครื่องสำอางจากผู้ผลิตจำหน่ายที่เชื่อถือได้ มีการระบุ ชื่อ ที่อยู่ของผู้ผลิตอย่างชัดเจน และหากมีสารเคมีที่มีฤทธิ์แรงผสมอยู่ ก็จะต้องมีเลขทะเบียนเครื่องสำอางอยู่ด้วย ควรดู ฉลากให้ถี่ถ้วนเสมอ ไม่ควรซื้อเครื่องสำอางที่เร่ขายในราคาถูก เพราะอาจได้รับเครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน
เมื่อจะเริ่มใช้เครื่องสำอางชนิดใหม่
ให้ทดสอบเครื่องสำอางกับตัวก่อนว่าจะเกิดอาการแพ้หรือไม้ โดยแตะเครื่องสำอางหรือทาบาง ๆ ตรงบริเวณใกล้ ๆ กับที่ จะใช้ ทิ้งไว้ 48 ชั่วโมง ถ้ามีอาการแพ้ เช่น บวมแดงหรือผื่นคัน ก็ไม่ควรใช้เครื่องสำอางนั้น ในกรณีที่ใช้เครื่องสำอาง ไปแล้วต่อมาเกิดอาการแพ้ขึ้นภายหลัง ก็ให้หยุดใช้เครื่องสำอางทุกชนิดทันที และหากมีอาการแพ้มากควรปรึกษาแพทย์ เพราะถ้าปล่อยไว้อาจมีอาการอักเสบเพิ่มขึ้น ยากแก่การรักษา
การใช้เครื่องสำอาง อาจช่วยให้ความสวยงามเพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องเสี่ยงกับพิษภัยและการแพ้ ทั้งยังสิ้นเปลืองเงินทองด้วย หากรักษาสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง จิตใจผ่องใส รักษาความสะอาดของร่างกาย แต่งกายให้สุภาพ เหมาะสมกับกาละ เทศะก็จะทำให้สวยได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องสำอาง อย่าลืมว่า "งามใน ดีกว่างามนอก ที่พอกด้วยเครื่องสำอาง"

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

*** 1 นาทีเพื่อการลดน้ำหนัก ***



สิ่งเดียวที่คุณต้องการก็คือเวลาหนึ่งนาที เพื่อเริ่มการกำจัดน้ำหนักส่วนเกิน และต่อไปนี้คือกลยุทธ์แสนง่ายดาย ในการตัดลดแคลอรี่และเผาผลาญไขมันอย่างได้ผล ซึ่งใช้เวลาเพียง 60 วินาที หรือน้อยกว่านั้น




1. เจือจางน้ำผลไม้ ผสมน้ำผลไม้ที่คุณโปรดปราน (ครึ่งหนึ่งของปริมาณที่คุณเคยดื่ม) กับน้ำเปล่าหรือน้ำแร่แบบมีฟอง คุณสามารถตัดลดแคลอรี่ลงไปได้อย่างน้อย 85 แคลอรี่ ต่อแก้ว ซึ่งหมายถึง 2 กิโลในหนึ่งปี


2. เคี้ยวหมากฝรั่ง งานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ ค้นพบว่าการเคี้ยวหมากฝรั่งไร้น้ำตาลตลอดทั้งวันเพิ่มอัตราการผลาญได้ราว 20 % ที่สามารถช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าปีละ 10 ปอนด์




3. จิบชาเขียวก่อนออกไปเดิน คาเฟอีนช่วยปลดปล่อยกรดไขมันของคุณ จึงเผาผลาญไขมันได้ง่ายกว่า และโพลีฟีนอล (ที่เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์) ในชาเขียวก็ดูจะทำงานร่วมกับคาเฟอีนในการเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี่ (ถ้าคุณความดันโลหิตสูง อย่าใช้เคล็ดลับนี้)




4. หลอกต่อมรับรส การจิบยาแก้ไอรสเมนธอลหรือยูคาลิปตัสจะช่วยระงับอาการอยากอาหารได้อย่างชะงัดในทันที




5. เพิ่มรสชาติเผ็ดร้อน การเติมพริกลงในอาหารจะทำให้คุณทานอาหารช้าลง และพริกยังช่วยเพิ่มการผลาญพลังงานอีกด้วย




6. อย่าอยู่เฉย การขยับแข้งขยับขาหรืออยู่ไม่สุขตลอดเวลาจะช่วยคุณเผาผลาญแคลอรี่มากขึ้น ซึ่งอาจมากถึงวันละ 700 แคลอรี่เลยล่ะ




7. เช่าหนังผีมาดู คุณมีความอยากอาหารน้อยลงเวลาที่กลัว แต่จะกินมากขึ้นถ้าโกรธหรือมีความสุข




8. มองตัวเอง งานวิจัยบอกว่า การมองตัวเองในขณะกินอาหาร อาจทำให้คุณกินน้อยลงได้ 22-32 เปอร์เซ็นต์




9. วิดพื้น ก่อนที่คุณจะเปิดถ้วยไอศกรีม วางมันลงก่อนแล้วก็ทำท่าวิดพื้นซัก 10 ครั้ง การทำกิจกรรมทางกายบางอย่างจะทำให้คุณสำนึกถึงเป้าหมายของคุณขึ้นมาได้




10. ดมกลิ่น เวลาที่อยากกินขนมเค้กหรือคุกกี้หอมกรุ่นพวกนั้นเหลือเกิน ลองทำแบบนี้ดู สูดกลิ่นมันสัก 30 วินาที ก่อนกิน มันจะเป็นการตอบสนองต่อความอยากที่จะช่วยให้คุณหยุดกินได้แค่คุกกี้ชิ้นเดียว




11. กินปลา ปลาที่อุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 เช่น ทูน่า แม็กครีล และแซลมอน อาจช่วยคุณลดน้ำหนักได้ด้วยการเผาผลาญไขมันให้ดีขึ้น คนที่น้ำหนักเกิน ซึ่งกินอาหารแคลอรี่ต่ำที่มีปลาด้วยทุกวัน ลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ได้กินปลาเลยราว 20 %

*** 4 อาหาร ที่ทำให้หน้าท้องแบนราบ ***


"แคลอรี่"..ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่จะทำให้หน้าท้องเพิ่มหรือลด แต่อาหารบางอย่างดูจะมีผลต่อไขมันกลางลำตัวของเรามากกว่า

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้เชี่ยวชาญจากการศึกษาแบบต่อเนื่องของ Framingham Nutrition รายงานว่า ผู้หญิงที่กินน้อยลงไปเกือบ 400 แคลอรี่ ต่อวัน แต่เลือกอาหารที่มีสารอาหารน้อย มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นสองเท่าครึ่งในการมีหน้าท้องใหญ่ขึ้น เมื่อเทียบกับคนที่กินมากกว่าแต่กินอาหารที่ดีกว่า คุณจึงไม่จำเป็นต้องอดอาหาร เพียงแต่ต้องรู้จักเลือกอาหารให้มากขึ้น เพื่อปราบหน้าท้องให้อยู่ในที่ในทาง นั่นก็คือ 4 อาหาร ต่อไปนี้
1. ผักและผลไม้ ผู้หญิงลดขนาดเอวได้ด้วยการแทนที่อาหารที่เป็นแป้งขัดขาวและน้ำตาลด้วยคาร์โบไฮเดรตจากผักและผลไม้โดยเฉพาะที่มีสีส้ม นี่เป็นการรีวิวจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน นอกเหนือจากเส้นใยอาหารที่ทำให้คุณรู้สึกอิ่มยาวนานกว่า นักวิจัยยังคาดว่าแอนตี้ออกซิแดนท์ อย่างเช่น วิตามินซีและเบต้าแคโรทีนคือสิ่งที่ช่วยกำจัดไขมันหน้าท้องออกไปได้

2. โปรตีน การกินโปรตีนมากขึ้นทำให้คุณอิ่มและเพิ่มพลังงานซึ่งนำไปสู่การลดน้ำหนักโดยรวม และสำหรับคนที่อายุมากกว่า 40 จะช่วยลดไขมันหน้าท้องได้เป็นพิเศษ นี่เป็นผลการค้นพบของวิทยาลัยสกิดมอร์และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน แต่งานวิจัยชี้ว่าการกินโปรตีนในปริมาณสูงๆ อาจทำให้ไตทำงานหนัก เพราะอาจทำให้เกิดการสูญเสียแคลเซียมได้ ควรตั้งเป้ารับแคลอรี 25 % จากโปรตีน (ถ้าคุณกินวันละ 2,000 แคลอรี่ นั่นก็คือ 500 แคลอรี่ จากโปรตีน) และเลือกโปรตีนแบบไร้ไขมัน อย่างเช่น โยเกิร์ตไขมันต่ำ นมไร้ไขมัน ปลาและสัตว์ปีกไร้หนัง ถั่วเป็นแหล่งที่ดีอีกอย่างหนึ่งแต่อาจมีแคลอรี่ค่อนข้างสูง

3. เซเลเนียม นี่เป็นแร่ธาตุที่ช่วยต่อสู้มะเร็ง และเชื่อมโยงกับไขมันหน้าท้อง จากการสำรวจคนอเมริกันมากกว่า 8,000 คน คนที่มีระดับเซเลเนียม และแอนตี้ออกซิแดนท์อื่นๆ ในเลือดน้อยกว่า จะมีรอบเอวที่ใหญ่กว่า เซเลเนียมพบในอาหารหลายชนิด แต่มันอาจยากที่จะรู้ว่าคุณได้รับปริมาณครบตามที่แนะนำหรือเปล่า (55 ไมโครกรัม) เพื่อให้ได้ปริมาณตามต้องการ ลองกินวิตามินเสริมหรือกินอาหารให้หลากหลาย

4. ไขมันที่ดี การวิจัยชิ้นหนึ่งของสเปนชี้ให้เห็นว่า มันง่ายกว่าที่จะรักษาความผอมเพรียวด้วยการกินไขมันแบบไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (เช่น น้ำมันมะกอก) และโอเมก้า-3 (ส่วนใหญ่พบในปลา แต่ก็มีในเมล็ดต้นแฟลกซ์ น้ำมันวอลนัตและเต้าหู้) ในขณะที่ไขมันเมก้า-6 (มีมากในซีเรียลน้ำมันข้าวโพด และไข่ ) เป็นเหตุให้ไขมันหน้าท้องเพิ่มพูนแต่ไขมันที่ควรกำจัดโดยสิ้นเชิงก็คือ ไขมันทรานส์ที่ไม่มีคุณค่าทางอาหาร ในการศึกษาของมหาวิทยาลัยเวกฟอเรสต์ ลิงที่กินอาหารแบบที่คนอเมริกาทั่วไปกินเป็นเวลา 6 ปี มีน้ำหนักมากขึ้นเทียบเท่ากับน้ำหนักมนุษย์ 10 ปอนด์ ถ้าไขมันที่พวกมันกินคือ ไขมันทรานส์อย่างเดียว เทียบกับพวกที่กินไขมันที่เพิ่มขึ้น 30% นั้นจะเพิ่มขึ้นในส่วนของหน้าท้องด้วย

7 สิ่งที่ไม่ควรดื่มกิน ขณะท้องว่าง


1. เหล้า กระเทียม เพราะ 2 สิ่งนี้จะยิ่งกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

2. น้ำตาลหรืออาหารหวาน เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาล ส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

3. ชาแก่ ทำให้กรดเกลือของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง เกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง

4. ลูกพลับ เป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก ทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

5. กล้วย เพราะจะเพิ่มธาตุแมกนีเซียมในเลือดให้สูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียม เป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก

6. ผัก หากรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้ท้องอืด

7. นมและนมถั่วเหลือง แม้จะอุดมด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการย่อยและดูดซึมก็ต่อเมื่อในกระเพาะอาหารมีสารประเภทแป้งอยู่

“มหัศจรรย์สมุนไพรไทย ต้านโรคคนเมืองอยู่หมัด”



คนสมัยนี้เป็นอะไรนิดหน่อยก็ชอบกินยา แถมยังเชื่อผิดๆว่า อยากมีสุขภาพดีชีวิตยืนยาว ต้องโด๊ปอาหารเสริม และวิตามินเยอะๆ เจ้าแม่วงการอาหารเมืองไทย “คุณหรีด-รพีพรรณ เหลืองอร่ามรัตน์” ยืนยันจากประสบการณ์ทั้งชีวิตว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรจะมหัศจรรย์เท่ากับสมุนไพรไทย…เชื่อคุณหรีด!! ทั้งราคาถูก ปลูก เองก็ง่าย และเป็นยาสามัญประจำบ้าน ที่ต้านโรคภัยได้สารพัดนึก โรคมะเร็ง ถือเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยสูงเป็นอันดับสาม รองจากโรคหัวใจ และอุบัติเหตุ เกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นกรรมพันธุ์, ความบกพร่องทางพันธุกรรม, สิ่งแวดล้อม, อาหาร รวมถึงความเครียด และการใช้ ชีวิตเร่งรีบของคนเมือง “มะเร็ง” กลัวสมุนไพรไทย อยู่หลายตัวค่ะ เพราะมีสารอาหารต้านโรคร้ายได้น่าทึ่ง ใครอยากห่างไกลมะเร็ง แนะนำให้ทาน กระเทียม และผักจำพวกหอม ซึ่งอุดมด้วยซัลเฟอร์ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันต้านทานมะเร็งโดยธรรมชาติ ขณะที่ ผักจำพวกกะหล่ำปลี มีสารต้านทานมะเร็งในลำไส้ และช่วยต้านมะเร็งต่อมลูกหมาก ส่วน ขมิ้นขาวและขมิ้นชัน นอกจากจะมีสรรพคุณขับลมในลำไส้แล้ว ยังมีสารช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ด้วย สำหรับสาวๆควรทาน ผลไม้จำพวกส้ม เป็นประจำ เพราะช่วยล้างสารก่อมะเร็ง และยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านม แพทย์ทางเลือกยังได้ค้นพบความมหัศจรรย์ของ มะรุม สมุนไพรไทยแท้ๆ ว่ากันว่า หากทานอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง [...]

วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่เป็นโรคสิว


ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่เป็นโรคสิว ขอสรุปข้อควรปฏิบัติ สำหรับผู้เป็นโรคสิวไว้เป็นแนวทางในการดูแลตนเองดังนี้

1. การล้างหน้า ควรล้างด้วยสบู่อ่อน ๆ เช่นสบู่เด็ก ซึ่งประกอบด้วยสารเคมีที่อ่อน ไม่ระคายเคือง หรือรบกวนผิวซึ่งทำให้เกิดคอมมีโดน หรือสิวอุดตัน หรือเลือกสบู่อ่อนที่ใช้สารเคมีที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่ก่อให้เกิดสิว

2. ไม่ควรล้างหน้า หรือเช็ดหน้าบ่อย ๆ

3. ไม่ควรใช้เครื่องสำอางที่มีผลต่อการทำงานของผิวหนัง และต่อมไขมัน เช่น ครีมบำรุงผิว ครีมนวดหน้า ครีมแก้รอยเหี่ยวย่นที่มีสเตียรอยด์ผสมอยู่ ถ้าจำเป็นต้องใช้ควรเลือกครีมหรือสารที่ใช้ความชุ่มชื้นมีส่วนประกอบ เป็น สารเคมีที่ ไม่ก่อให้เกิดสิว โดยทั่วไปชุดเมคอัพ เช่น ลิปสติก แป้ง บรัชออน มาสคาร่า อายแชโดว์ และชุดรองพื้น จะไม่ก่อให้เกิดสิว

4. อย่าบีบ หรือแกะสิว 5. การใช้ยารักษาสิว ต้องระวังยาที่โฆษณาว่ารักษาได้ทั้งสิว และฝ้า เพราะยาพวกนี้ มักผสมสเตียรอยด์ ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้สิวอักเสบยุบเร็ว แต่มีภาวะแทรกซ้อนมากมาย โดยมีการกระตุ้นให้เกิดสิวอุดตันขึ้นมาใหม่มากกว่าเดิม ทำให้สิวไม่หายขาด 6. เลือกใช้ยาทาพวกเบนซอยล์เปอร์ออกไซด์ หรือกรดวิตามินเอตามชนิดของสิว ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาหรือแนะนำให้ 7. ถ้ามีสิวอักเสบมาก ต้องกินยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมควบคู่ไปด้วย หรืออาจจำเป็นต้องได้รับยา isotretinoin (Roaccutane) ซึ่งเป็นยารักษาโรคสิวที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย เมื่อใช้ตามข้อบ่งชี้และภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนัง ผู้ที่ได้รับยาตัวนี้ต้องไม่ตั้งครรภ์เพราะเด็กจะพิการ 8. กินยาให้ครบและสม่ำเสมอ

9. หากมีปัญหา หรือข้อสงสัยในเรื่องสิว และแนวทาง การรักษา ควรสอบถามจากแพทย์ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจน

โรคสิวนั้นจัดเป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยที่สุด หากเข้าใจเรื่องของโรคสิวอย่างดีพอ และดูแลรักษาตนเองอย่างถูกต้อง ย่อมช่วยให้การรักษาโรคสิวเป็นไปอย่างได้ผล และลดภาวะแทรกซ้อน เช่น การเกิดแผลเป็นลงได้มาก

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เตือนห่วงสุขภาพตับ งดกินพาราฯควบกาแฟ


เตือนห่วงสุขภาพตับ งดกินพาราฯควบกาแฟ
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 30 กันยายน 2550 13:24 น.

นักวิจัยแนะงดดื่มกาแฟระหว่างกินยาพาราเซตามอลเอเจนซี - เตือนการดื่มกาแฟระหว่างกินยาพาราเซตามอล อาจทำให้ตับเสียหายรุนแรงพอๆ กับการกินยาแก้ปวดขณะดื่มเหล้า ปกติแล้ว การกินยาพาราเซตามอลเกินขนาดแค่เล็กน้อยก็สามารถทำให้ตับเสียหายถาวร นอกจากนั้น นักวิจัยยังรู้ดีว่า การดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปจำนวนมาก อาจทำปฏิกิริยาให้ยาชนิดนี้กลายเป็นพิษมากขึ้น กระนั้น งานวิจัยนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ชี้ว่าการกินยาพาราเซตามอลและดื่มกาแฟ อาจส่งผลร้ายเช่นเดียวกันปัจจุบัน มีการเติมคาเฟอีนลงไปในยาพาราเซตามอล เพราะเชื่อว่าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการระงับปวด ทว่า นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันเห็นว่า ควรจำกัดปริมาณคาเฟอีนระหว่างกินยาพาราเซตามอลดร.ซิด เนลสันแจงว่า ข้อแนะนำนี้ไม่ได้หมายความให้เลิกกินยาพาราเซตามอลหรือเลิกกินผลิตภัณฑ์ที่มีคา­เฟอีน เพียงแต่ต้องระวังมากขึ้นถ้ากินพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะถ้าดื่มแอลกอฮอล์มาด้วยในการศึกษานี้ นักวิจัยใช้แบคทีเรียอีโคไลที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมให้ผลิตสารเคมีสำคัญที่ป­อดใช้ในการย่อยสลายยาพาราเซตามอล นักวิจัยพบว่าเมื่อผสมพาราเซตามอลกับคาเฟอีนในปริมาณมาก จะทำให้เกิดสารพิษที่เป็นอันตรายต่อตับเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าดร.เนลสันอธิบายว่า สำหรับคนปกติ ปอดจะเสียหายรุนแรงหากดื่มกาแฟ 20-30 แก้วระหว่างกินยาแก้ปวด แต่สำหรับบางคนอาจได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันแม้กินยาแก้ปวดหรือกาแฟไม่มากนัก เช่น คนที่กินยาแก้โรคลมบ้าหมู หรือเซนต์จอห์นส์เวิร์ต ซึ่งเป็นสมุนไพรบำบัดอาการซึมเศร้า ที่มีฤทธิ์ทำให้ร่างกายผลิตสารพิษออกมามากกว่าปกติเมื่อตับย่อยสลายพาราเซตามอลนอกจากนั้น วารสารเคมิคัล รีเสิร์ชรายงานว่า ตัวคาเฟอีนเองสามารถทำลายตับของหนูที่เป็นโรคตับอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน เดือนที่ผ่านมา มีข่าวว่าพนักงานเสิร์ฟสาวคนหนึ่งในอังกฤษ ถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วยอาการไข้ขึ้นสูงและใจสั่น หลังซดเอสเปรสโซไป 14 แก้วอนึ่ง แม้พาราเซตามอลมีประโยชน์มากกว่าแค่ระงับปวด โดยมีการวิจัยก่อนหน้านี้ว่า ผู้หญิงที่กินยานี้เป็นประจำมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่ลดลง 30% ทว่า หากใช้ไปนานๆ อาจเป็นอันตรายต่อตับและไต รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคความดันโลหิตสูงและโรคหลอดเลือดสมอง

ความรู้เล็กๆ เกี่ยวกับ แผลในช่องปาก หรือ ร้อนใน



ความรู้เล็กๆ เกี่ยวกับ แผลในช่องปาก หรือ ร้อนใน
เป็นแผลสีขาวขาว เจ็บ ที่ริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม และเหงือกบ่อยๆ เรียกว่า เป็นแผล ร้อนใน ซึ่งแผลในลักษณะนี้เกิดขึ้นได้จากมีความเครียด ... หรือท้องผูก ... มีการกัดโดนริมฝีปาก กระพุ้ง แก้ม ... หรือเป็นแผล หรืออนามัยช่องปากไม่ดีการรักษา ทำได้โดย พยายามหาวิธีการลดความเครียด เพื่อผ่อนคลาย เลือกรับประทาน อาหารที่มีกาก และดื่มน้ำมากๆ ระวังไม่ให้เกิดแผลในช่องปาก ซึ่งอาจเกิดได้จากอาหารที่มีความคม แข็ง เช่น ก้าง ปลา และรักษาอนามัยช่องปากให้สะอาดโดยปกติแล้ว แผลในลักษณะนี้ จะหายไปเองใน 7 วัน ในวันแรก ของการเป็นแผลอาจมี อาการปวดแสบปวดร้อนมากได้ อาจใช้ยาบางชนิด เช่น จำพวกคอร์พิโซน ทาบริเวณแผล จะช่วยลดอาการลงได้ และหากภายใน 2 สัปดาห์ แผลยังไม่หาย หรือเป็นแผลมากขึ้นกว่าเดิม ควรรีบไปพบทันตแพทย์

เป็น " สิว "บอกอะไรได้มากกว่าที่คิด

เป็น " สิว "บอกอะไรได้มากกว่าที่คิด
สิวผุดขึ้นมาแต่ละเม็ด แต่ละเม็ด ก็ทำให้หนุ่มสาวหน้าใสที่ห่วงสวยห่วงหล่อแทบคลั่ง วิ่งหาวิธี delete สิวออกไปจากใบหน้ากันให้วุ่นวาย แต่จะมีซักกี่คนที่จะรู้ว่าเป็นสิวไม่ใช่แค่บอกว่าสุขภาพผิวหน้าเราไม่ดี แต่ยังบอกถึงสุขภาพทั่ว ๆ ไปอีกด้วย เมื่อเร็ว ๆ นี้ สถาบัน Leonard Drake ได้คิดค้นวิธีการวิเคราะห์ผิวลงไปลึกลงไปอีก ด้วยการผสานความรู้ในการดูแลผิวหน้าแบบตะวันตกเข้ากับศาสตร์การอ่านใบหน้าแบบจีน ซึ่งสามารถบอกได้ว่าสิวที่ขึ้นตามตำแหน่งต่าง ๆ ของใบหน้าหรือร่างกาย บอกความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนในบ้าง ว่าแล้วก็ไปหยิบกระจกมาส่องหน้าดูซิว่า อวัยวะส่วนใดผิดปกติกันบ้าง

โซนที่ 1
ตำแหน่งของสิว :หน้าผากด้านซ้าย
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :การย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ ต่อมหมวกไต
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :มีความเครียดสูง ล้างหน้าไม่สะอาด เพราะทารองพื้นหรือแต่งคิ้วมากไป

โซนที่ 2
ตำแหน่งของสิว : หว่างคิ้ว
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : ตับ
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :อาจมีปัญหาในการย่อยแลคโทส (ดื่มนมไม่ได้)การรสจัดหรืออาหารกินอาหารดึกเกินไป

โซนที่ 3
ตำแหน่งของสิว : หน้าผากด้านขวา
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :การย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ ต่อมหมวกไต
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :มีความเครียดสูง ล้างหน้าไม่สะอาด เพราะทารองพื้นหรือแต่งคิ้วมากไป

โซนที่ 4,10
ตำแหน่งของสิว : ใบหูทั้ง 2 ข้าง
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :ไต
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :ล้างแชมพูหรือสบู่ออกไม่หมด ใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไป ดื่มกาแฟ แอลกอฮอล์หรือกินเนื้อสัตว์มากเกินไป

โซนที่ 5,9
ตำแหน่งของสิว: แก้มทั้ง 2 ด้าน
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :
- แก้มส่วนบน ไซนัสและปอด
- แก้มส่วนล่าง เหงือก และฟัน
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :สูบบุหรี่จัด หรือแพ้ควันบุหรี่ ภูมิแพ้ เป็นหวัดเรื้อรัง หรืออาจใช้บลัชออนและรองพื้นไม่เหมาะสม ถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้มอาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอดหรือการหายใจ ถ้ามีสิวแบบเป็น ๆ หายๆ ที่แก้มด้านล่างอาจมีปัญหาเรื่องเหงือกและฟัน หรือโทรศัพท์มือถือไม่สะอาด

โซนที่ 6, 8
ตำแหน่งของสิว :รอบดวงตาทั้ง 2 ข้าง
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :ไต และปัญหาภูมิแพ้
เสาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :ครื่องสำอางทีใช้อาจไม่เหมาะ หรือใส่แว่นาที่เสียดสีมาก รอยคล้ำอาจเกิดจากการมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก หรือผักผ่อนน้อย เปลือกตาหากมีความระคายเคืองอาจมาจากการเป็นภูมิแพ้ หรือขาดสารอาหาร

โซนที่ 7
ตำแหน่งของสิว: จมูก และเหนือริมฝีปาก
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :หัวใจ และระบบสืบพันธุ์
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :หากมีผิวสีแดงเข้มที่จมูก อาจบ่งบอกถึงโรคความดันโลหิตสูง การอุดตันหรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ บอกถึงผลกระทบจากฮอร์โมน เช่นกำลังมีประจำเดือน วัยทอง การใช้ยาคุมกำเนิด

โซนที่ 11,13
ตำแหน่งของสิว :ใต้ริมฝีปากด้านซ้าย และขวา
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :รังไข่
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ: อาจทำความสะอาดได้ไม่พอ หรือมาจากความสมดุลทางฮอร์โมน หากมีปัญหาการอุดตันช่วงใบหู อาจแสดงว่าฟันกรามมีปัญหา หรือว่าเพิ่งผ่าตัดฟันมา หรืออาจเกิดจากการมีรอบเดือน

โซนที่ 12
ตำแหน่งของสิว :ปลายคาง
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก

สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :อาจกินอาหารรสจัดเกินไปจนลำไส้มีปัญหาในการดูดซึม

โซนที่ 14
ตำแหน่งของสิว ลำคอ และหน้าอก
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :ความเครียด วันนี้ถ้าส่องกระจกดูสิว ก็อย่าลืมสังเกตสุขภาพร่างกายไปพร้อม ๆ กันด้วยนะคะ

วิธีแก้ไขปัญหา"หน้ามันเยิ้ม"



เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่น เนื่องจากมีอิทธิพลของฮอร์โมนเพศ ที่เพิ่มขึ้นไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากขึ้น แต่บางคนคิดว่าตัวเองพ้นวัยรุ่นมานานแล้ว ทำไมยังหน้ามันไม่หายสักที นั่นเป็นเพราะยังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง ที่ส่งผลต่อความมันบนใบหน้า ความเครียด, การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในหญิงมีครรภ์, ความร้อน และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสม



*ส่วนความเชื่อที่ว่าการรับประทานของมันๆ*เช่น ขาหมู, ไอสกรีม, กะทิ แล้วจะทำให้หน้ามันนั้นเป็นการเข้าใจผิดค่ะ เพราะเป็นไขมันคนละชนิด กับที่หลั่งออกมาสู่ผิวหนัง



*ปัญหาที่พบคู่กันกับคนหน้ามันคือ*รูขุมขนกว้าง ซึ่งจะสัมพันธ์กับปริมาณไขมันที่ผลิตจากต่อมไขมัน และหลั่งออกสู่ผิวหนังที่มากขึ้น เพราะถ้าไขมันเหล่านี้ไม่สามารถระบายออกไปได้ ก็จะเกิดการอุดตันเกิดเป็นสิวตามมาให้กลุ้มใจอีกเรื่อง



*การดูแลรักษาผิวหน้า สำหรับคนหน้ามัน*



1. ควรล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2-3 ครั้งก็พอ เพราะการล้างหน้าบ่อยเกินไป กลับจะเป็นโทษคือทำให้ผิวหน้าอักเสบระคายเคืองได้ ในระหว่างวันถ้ารู้สึกรำคาญหน้ามันก็อาจใช้กระดาษซับมันช่วยได้ สบู่หรือโฟมที่เลือกใช้ควรผลิตสำหรับผิวมันโดยเฉพาะ หรืออาจใช้เป็นสบู่เด็กก็พอ ไม่ควรใช้สบู่ที่ฟอกแล้วหน้าตึงมาก



2. ครีมบำรุงหรือครีมให้ความชุ่มชื้น ควรเลือกชนิดปราศจากน้ำมัน (Oil-free) และไม่อุดตันรูขุมขน (Non-Comidogenic) และควรมีสารป้องกันแสง UV ที่จะมาทำลายผิวด้วย



3. การแต่งหน้า ถ้าเป็นไปได้แป้งที่เหมาะสม สำหรับคนหน้ามันก็คือแป้งฝุ่น แต่ถ้าจำเป็นต้องแต่งหน้าก็อาจใช้แป้งฝุ่นก่อนจึงค่อยแต่งหน้า การเลือกใช้รองพื้นควรใช้ชนิดที่มีส่วนผสมเป็นน้ำ (Water Based) และปราศจากน้ำมัน (Oil-free)



ถ้าปฏิบัติด้วยวิธีดังกล่าวแล้วยังมีหน้ามันมาก มีรูขุมขนกว้างหรือมีสิวขึ้นจนขาดความมั่นใจ ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพราะคุณหมอจะมียาทาบางชนิดที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน ช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ที่อุดตันตามรูขุมขนออกไป เช่น ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ, AHA, BHA ฯลฯ ทำให้ผิวหน้าดูดีขึ้น



ส่วนยารับประทานที่ควบคุมความมันบนใบหน้า เป็นยาอันตรายนะคะ! ซื้อทานเองหรือเอาไปแบ่งเพื่อนทานก็ไม่ได้ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น





"วิตามินซี" เพื่อสุขภาพ
มาทำความรู้จักกับ “วิตามินซี” กับบทบาทสำคัญ ... คุณสมบัติที่โดดเด่นของวิตามินซี ก็คือ ความเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) นั่นเอง โดยประโยชน์หลักๆ เมื่อร่างกายได้รับวิตามินซีเป็นประจำ คือ เพิ่มภูมิต้านทานแก่ร่างกาย ป้องกันการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง บำรุงผิวพรรณหรือชะลอความแก่ ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันหรือเหงือกอักเสบ ในทางกลับกัน หากร่างกายเราขาด “วิตามินซี” หรือมีปริมาณวิตามินซีน้อยเกินไป อาจส่งผลทำให้เกิดอาหารเหล่านี้ได้


- เป็นหวัดง่าย ภูมิต้านทานโรคและความสามารถในการกำจัดพิษลดลง


- ผิวหนังขาดความยืดหยุ่น เกิดจุดด่างดำ ฝ้า มีเลือดออกตามไรฟัน


- อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง ประสาทสัมผัสด้อยลง


- มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะ ตับ และส่วนอื่นๆ


- ประสิทธิภาพของต่อมหมวกไตลดลง เป็นภูมิแพ้ได้ง่าย


- เป็นโรคโลหิตจาง หรือโรคต่างๆ ง่าย บาดแผลหายยาก หากขาดมากจะเป็นโรค โลหิตเป็นพิษ


- เกิดโรคลักปิดลักเปิด


สำหรับผู้ที่กำลังกลุ้มใจ เพราะไม่รู้ว่าจะหาวิตามินซีมาทานได้จากที่ไหน ... อยากจะบอกว่า ความจริงแล้วแหล่งของวิตามินซี เราสามารถหาได้จาก อาหารที่มีอยู่ในธรรมชาติทั่วไป แต่แหล่งที่มีมาก คือ ผักสดและผลไม้ต่างๆ โดยเทียบง่ายๆ จากประเภทของอาหาร (100 กรัม) และวิตามินซี


(มิลลิกรัม)ดังนี้ มะขามป้อม 276, ฝรั่ง 160, พุทรา 154, มะขามเทศ 133, มะปรางสุก 107, มะละกอสุก 73,แคนตาลูป 33, มะนาว 25 และมะยม 8อย่างไรก็ตาม พึงตระหนักไว้ว่า “วิตามินซี”เป็นวิตามินที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับวิตามินอื่นๆ และร่างกายไม่สามารถผลิตขึ้นได้เอง ดังนั้น ทุกคนจึงควรบริโภควิตามินซี แต่จะมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับความต้องของแต่ละบุคคล